26 เม.ย. 2561 น.ส.ศิริพร ฉายเพ็ชร ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม รุ่นที่ 3 กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “การสร้างจิตสำนึกใหม่ หลักคิด หลักวิเคราะห์ คุณค่าและการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่สังคมสุขภาวะกับการปฏิบัติการจิตอาสาร่วมกับชุมชนชายขอบ” โดยคัดเลือกคนรุ่นใหม่ 40 คน ศึกษาปัญหาของกลุ่มคนชายขอบ 7 กลุ่มจากพื้นที่จริง ประกอบด้วย 1.ผู้ติดเชื้อ HIV-เอดส์ และพนักงานบริการ ว่าด้วยสิทธิและการเข้าถึงยาของผู้ติดเชื้อ ระบบหลักประกันสุขภาพ ผ่านการตะลุยโลกแสงสียามราตรีของย่านพัฒน์พงศ์
2.แรงงานข้ามชาติ ประเด็นปัญหาระดับชาติ สถานการณ์การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ 3.คนรุ่นใหม่ก้าวพลาด เยาวชนกลุ่มเสี่ยง ผ่านการเข้าเยี่ยมศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนชาย “บ้านกาญจนาภิเษก” ศูนย์รวมไว้ซึ่งทุกปัญหาที่เกิดจากผู้ใหญ่และสังคม 4.คนจนเมือง คนไร้บ้าน ร่วมกิน ร่วมอยู่ ร่วมนอน บทพิสูจน์ทุกคนมีความเป็น “คน” เท่าเทียมกัน
5.เมืองกับสิ่งแวดล้อม สิทธิในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม สัมผัสชีวิตเกษตรกรที่หลากหลาย ความพยายามในการรักษาฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อมของชุมชน 6.นักโทษทางความคิดและผู้ลี้ภัย เรียนรู้เข้าใจประวัติศาสตร์สถานการณ์ทางการเมืองจากอดีตถึงปัจจุบัน และ 7.คนพิการ ประเด็นรัฐสวัสดิการในกลุ่มคนที่ถูกลืม ให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสเรียนรู้สภาพความเป็นจริงในสังคมด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง
น.ส.ศิริพร กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้คือยุคของคนรุ่นใหม่ซึ่งมีความคิดเปิดกว้าง อีกทั้งคนรุ่นใหม่มีศักยภาพและมีความกระตือรือร้น แต่โครงสร้างอำนาจและพื้นที่ทางของสังคมยังไม่เปิดในทางปฏิบัติ จึงต้องสร้างพื้นที่ขึ้นมารองรับ โดยจำลองสังคมให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลองปฏิบัติจริงตามศักยภาพและสถานการณ์ทางสังคม โดยพื้นที่นี้จะให้เป็นพื้นที่เปิด ให้อำนาจ การมีส่วนร่วม โอกาสในการเรียนรู้และลงมือทำกับเพื่อนคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนในสังคมตามประเด็นต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาฟื้นฟูคุณค่า และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
น.ส.ศิริพร ฉายเพ็ชร
"หลักสูตรการสร้างจิตสำนึกใหม่ หลักคิด หลักวิเคราะห์ คุณค่าและการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่สังคมสุขภาวะกับการปฏิบัติการจิตอาสาร่วมกับชุมชนชายขอบ โดยเลือก 7 ประเด็นปัญหาในสังคมของกลุ่มคนที่ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียง เป็นกลุ่มคนชายขอบที่มักจะถูกลืมเป็นพื้นที่จริงในการศึกษา ซึ่งเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมที่เป็นหัวใจสำคัญที่ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม หรือ มอส. นำมาใช้" น.ส.ศิริพร กล่าว
ขณะที่ น.ส.จิราพร เครือสมบัติ นักสังคมสงเคราะห์ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 5 จ.อุบลราชธานี และจบการศึกษาด้านสังคมสงเคราะห์มาโดยตรง กล่าวว่า สมัครมาร่วมโครงการนี้เพราะต้องการรู้ความคิดของคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้จากที่ทำงานกับกลุ่มเยาวชนในศูนย์ฝึกฯ ส่วนใหญ่จะเรียนหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ซึ่งมีช่วงเวลาที่ว่างมาก จึงคิดว่าจะรวมกลุ่มเพื่อสร้างกิจกรรม หางานให้เด็กได้ทำ เป็นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
โดยตนเลือกเข้าเยี่ยมชมบ้านกาญจนาภิเษก ได้พูดคุยกับนางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ในเรื่องการฟื้นฟูศักยภาพเด็ก กิจกรรมที่ทำร่วมกับครอบครัว ที่จะทำให้เด็กมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้ปกครอง เพราะที่ผ่านมาเด็กมักมีความสัมพันธ์ไม่ดีนักกับครอบครัว ความรู้ที่ได้นั้นเป็นประโยชน์กับการทำงานของตนเองมาก สามารถนำกลับไปใช้ได้ในพื้นที่ 7 จังหวัดที่ต้องดูแล ซึ่งมีเด็กในศูนย์ฝึกประมาณ 400 กว่าคน
น.ส.จิราพร เครือสมบัติ (ขวา)
"ส่วนใหญ่เด็กที่รับโทษคือเรื่องยาเสพติด รากลึกจริงๆ เกิดจากครอบครัว พ่อแม่ลืมถอดบทบาทหน้าที่จากสังคมเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้าน ใช้การออกคำสั่งกับลูก กดดันมากเกินไป หรือบางคนตามใจลูกแต่ไม่เข้าใจเด็กว่าต้องการอะไร จึงเกิดความคิดในการแก้ไขที่ว่าอาชญากรเด็กไม่ใช่ปัญหาระดับบุคคลแต่เกิดจากปัญหาเชิงระบบ ซึ่งยอมรับว่าเชิงระบบนั้นแก้ยาก เราต้องเปลี่ยนทัศนคติก่อน การทำงานกับผู้ปกครองต้องทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้ปกครองคิดกับเด็กคิดมันไม่ตรงกัน ต้องรับฟังเสียงเด็กให้มาก จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้จริง" น.ส.จิราพร ระบุ
ด้าน น.ส.จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ทำงานชุมชนในพื้นที่บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง กล่าวว่า จาก 7 ประเด็นปัญหาสังคม ตนสนใจเรื่องคนพิการ เนื่องจากคำว่าคนพิการคือคนชายขอบสำหรับตนเองที่สุด ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน เป็นเรื่องที่ห่างจากตนเองที่สุด และหลุดจากความคิดว่าคนพิการคือคนที่น่าสงสาร เป็นคนที่ต้องได้รับการสงเคราะห์ไปไม่ได้เลย
แต่เมื่อได้ลงมาสัมผัสความจริงมันเปลี่ยนความคิดว่าเขาก็คือคนเหมือนกับคนอื่นๆ แน่นอนต้องยอมรับว่าคนพิการไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาได้ทันที ต้องใช้เวลาเพราะสังคมกดเขาเอาไว้ ฉะนั้น วิธีการแก้ปัญหาคือการแก้ไขจากตนเองก่อนด้วยการเปลี่ยนมุมมองความคิด อธิบายให้คนใกล้ตัวได้เข้าใจ เนื่องจากรากเหง้าที่สำคัญคือการผลิตซ้ำของแนวคิดเก่าว่าความพิการคือความผิดปกติ
น.ส.จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ
"อย่างน้อยสิ่งที่จะช่วยได้ง่ายที่สุดคือการเป็นผู้สื่อสารในสิ่งที่ถูกต้องออกไป ทุกวันนี้ในสังคมไม่มีใครคิดหรือบอกว่าความพิการคือเรื่องปกติ ฉะนั้นสิ่งที่ได้ประโยชน์การพัฒนาตนเองทั้งมุมมอง เพราะเราต้องพบเจอคนที่หลากหลาย คนที่เห็นต่างให้มากกว่านี้ จะเกิดประโยชน์มาก ส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำเราเองค่อนข้างอยู่กับคนกลุ่มนี้ตลอด แต่เรามีความเข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก และได้เทคนิคการในการเข้าหาคนมากขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมของเราได้ด้วย" น.ส.จุฑามาส กล่าว
สำหรับโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เป็นกิจกรรมที่เกิดจากความร่วมมือกันของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี