2 พ.ค.61 นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ศธ.เพื่อยกอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย ว่า จากการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย 2 สถาบัน คือ World Economic Forum (WEF) และ Institute for Management Development (IMD) ภาพรวมช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมา พบว่าอันดับของประเทศไทยค่อนข้างตกลงมาเรื่อยๆ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงสั่งการให้ทุกกระทรวงไปทบทวนและหาแนวทางเพื่อยกอันดับความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งในการจัดอันดับมีการพิจารณาตัวชี้วัดหลายด้านๆมาประกอบ
ทั้งนี้ ด้านการศึกษา มี 7 ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1.อัตราการเรียนระดับมัธยมศึกษา 2.ผลการทดสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ พิซ่า 3.ระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ 4.การสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน 5.การตอบสนองความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอุดมศึกษา 6.อัตราการไม่รู้หนังสือของประชาอายุ 15 ปีขึ้นไป และ 7.ทักษะทางภาษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งในภาพรวมในด้านการศึกษาที่ผ่านมาไทยได้รับจัดอันดับ 45,46,53 เป็นต้น จากการจัดอันดับทั้งหมด 63 ประเทศ
"ที่ประชุมได้พิจารณาในแต่ละตัวชี้วัด พบว่าหลายเรื่อง ศธ.ได้ดำเนินการพัฒนาไป แต่อาจจะยังขาดการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ และไม่ได้ส่งข้อมูลทำให้ไม่ทราบว่าพัฒนาเรื่องใดไปบ้าง และในหลายตัวชี้วัดไทยยังไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานของนานาชาติ เช่น กำหนดสัดส่วนครูและนักเรียน 1:20 นั้น ประเทศกรีซ อันดับที่ 1 สิงคโปร์ 32 ส่วนไทยลำดับตกลงเลื่อยๆ ดังนั้น จึงมอบให้ไปทบทวนเพราะความจริงมีครูทั้งครูอัตราจ้าง ครูนอกสังกัด ศธ. ครูตำรวจตระเวนชายแดน ควรจะเอามารวมเป็นข้อมูลไว้ซึ่งเบื้องต้นก็พบว่าปี 2561 สัดส่วนอยู่ที่ 1:22 ซึ่งยังไม่ถึงเป้า ขณะที่ จำนวนปีการศึกษาก็พบว่าไทยยังทำได้ไม่ดี ซึ่งตามมาตรฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 14 ปี แต่ล่าสุดปี 2560พบว่าเฉลี่ยที่ 9.52 ปี ส่วนปี 2561 เฉลี่ยที่ 9.62 ปี ทั้งนี้ ในแผนพัฒนาการศึกษาชาติ พ.ศ.2560 - 2579 (20 ปี) กำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของเด็กไทยต้องอยู่ที่ 12.5 ปี" นพ.อุดม กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ในตัวชี้วัดก็จะไปดำเนินการให้ได้มาตรฐานต่อไป
รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า จากนี้ ศธ.จะเชิญภาคเอกชนมาประชุมเพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจว่าที่ผ่านมา ศธ.และหน่วยงานต่างๆ ได้ขับเคลื่อน ผลักดันอะไรไปบ้าง เพื่อจะตอบสนองความต้องการของประเทศ เช่น โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ และโครงการอาชีวะพันธุ์ใหม่ รวมถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษาในโครงการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ "โรงเรียนร่วมพัฒนา" (Partnership School) ที่มีภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่นเข้าร่วมในการบริหารจัดการศึกษา ซึ่งระยะแรกดำเนินการใน 40 โรงเรียน ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลได้อนุมัติให้ดำเนินการ โดยจะเริ่มดำเนินการทันทีที่เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 ช่วงเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ดำเนินการจริง ไม่ได้จัดทำขึ้น เชื่อว่าเมื่อภาคเอกชนมีความเข้าใจ ก็จะเกิดประโยชน์ต่อการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะภาคเอกชนเป็นผู้ตอบแบบสำรวจความคิดเห็นตัวชี้วัดด้านการศึกษาของทั้ง WEF และ IMD
ด้าน ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวเพิ่มว่า จากข้อมูลในกลุ่มอาเซียนประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นแรงขับให้ทุกองค์กรต้องมาทบทวนและหาทางเพิ่มจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทย รวมถึงทบทวนเรื่องของระบบการศึกษา โดยเฉพาะสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่จะต้องมีการปรับรูปแบบการจัดการศึกษา ซึ่งการเทียบโอนจะต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี