9 พ.ค.61 ที่ รร.แกรนด์เมอร์เคียว ฟอร์จูน นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวในเวทีเสวนา "สถาบันเพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ประเทศไทยต้องมี" ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีสถาบันเพื่อความปลอดภัยทางถนนทำหน้าที่เป็นหน่วยงานวิชาการศึกษาปัญหาและค้นหาทางแก้ไข เพราะหากไม่มีรัฐบาลก็ไม่รู้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอยู่ที่ไหน ไม่มีข้อมูลเพียงพอ หรือแม้แต่ไม่รู้ว่าตรงไหนมีปัญหาอยู่
นายนิกร กล่าวต่อไปว่า เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องลงมาจับงานนี้อย่างจริงจัง แต่ปัจจุบันไม่มีฝ่ายการเมืองเป็นเจ้าภาพ เพราะฝ่ายการเมืองไม่มีความรู้ เช่น มีข้อมูลว่าปีๆ หนึ่งประเทศไทยเสียหาย 5 แสนล้าน จากอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ฝ่ายการเมืองให้งบประมาณมาเพียง 500 ล้านบาท คำถามคือจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งการจะมีความรู้ได้ก็ต้องมีสถาบันขึ้นมาทำงานด้านวิชาการ
นอกจากนี้ การมีสถาบันวิชาการด้านความปลอดภัยทางถนน ยังช่วยในการสื่อสารไปยังสังคม เช่น ผ่านการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน สื่อสามารถนำผลการศึกษาของสถาบันไปรายงานในเชิงชี้นำสังคม ให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเมื่อประชาชนเห็นความสำคัญมากๆ เข้า ก็จะเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัย แต่สื่อมวลชนจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีข้อมูลวิชาการด้วย
นิกร จำนง
นายนิกร ยังกล่าวถึงสิ่งที่ตนวางรากฐานไว้สมัยเป็น รมช.คมนาคม ช่วงปี 2545 - 2548 คือการขอใช้อำนาจของนายกฯ ในขณะนั้นให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งโดยมีนายกฯ หรือรองนายกฯ คนหนึ่งเป็นประธาน เพราะก่อนหน้านั้นตนทดลองมาแล้วทั้งการทำโดยกระทรวงคมนาคมเพียงกระทรวงเดียว รวมถึงไปชวนกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาดไทย สาธารณสุข มาร่วมก็ไม่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนได้ จนต้องเปลี่ยนเป็นคณะกรรมการบริหารแบบเบ็ดเสร็จ หรือ "ซิงเกิล คอมมานด์" (Single Command) ใช้งบประมาณจากส่วนกลาง
ซึ่งปี 2546 ที่ประเทศไทยต้องการลดจาก 22.2 ให้เหลือไม่เกิน 20 ต่อแสนประชากร ในปี 2551 พบว่าทำได้เหลือ 18 จากนั้นพอปี 2552 ก็เตรียมวางแผนขยายผลลงไปถึงระดับจังหวัด แต่น่าเสียดายที่ในปี 2554 ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร มีการออกแบบใหม่จากระบบบริหารเบ็ดเสร็จกลับไปเป็นเหมือนตอนที่ล้มเหลว คือกลับไปแยกกัน มีรองนายกพร้อมคณะรัฐมนตรีเป็นแผง แล้วก็แยกหน่วยปฏิบัติ แต่รัฐมนตรีก็คุมข้ามกระทรวงไม่ได้ เช่น ตอนนั้นมหาดไทยก็เถียงกับสาธารณสุขว่าตัวเลขคนตายมีเท่าไร
"ศูนย์ปลอดภัยทางถนนที่จัดตั้งขึ้นมา ผมเป็นรองประธาน มีรัฐมนตรีเปลี่ยนกันมาแถลง กลายเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ต่อจากนั้นก็กลายเป็นปลัดเป็นแผงเลย รัฐมนตรีไม่มีแล้ว เลขาก็เป็นอธิบดีป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มันก็กลับไปรูปเดิมที่มันไม่เคลื่อน แล้วหลัง 2554 ก็มีปัญหาอีก เราไปตรวจสอบพบว่า 3 ปีไม่มีการประชุม" อดีต สปท.ระบุ
นายนิกร กล่าวอีกว่า ช่วงนี้ใกล้ถึงเวลาเลือกตั้งแล้ว อยากให้พรรคการเมืองต่างๆ เตรียมนโยบายไว้ด้วยว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะขับเคลื่อนงานแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างไร โดยเฉพาะพรรคที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ระเบียบคณะกรรมการเมื่อปี 2554 อนึ่ง ในวงเสวนายังมีการพูดถึงประเด็นข้อจำกัดมาตรการการสวมหมวกกันน็อกในผู้ซ้อนท้ายจักรยานยนต์รับจ้าง เช่น ความกังวลในความสะอาดของหมวก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องหาทางแก้ไขต่อไป
"เราออกกฎหมายมาว่าคนซ้อนต้องใส่หมวกด้วย แล้วมอเตอร์ไซค์รับจ้างเราก็บังคับให้เขามีหมวกได้ แต่ปัญหาคือบ้านเราเป็นประเทศเมืองร้อน ถามคุณผู้หญิงว่าถ้าไปนั่งมอเตอร์ไซค์จะกล้าเอาหมวกมาใส่ไหม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทรงผมเสีย แต่ไม่รู้ว่าสังกะตังของใคร มันก็เลยเป็นปัญหา ที่เขาพยายามทำหมวกนาโน หรือฝรั่งเศสเขามีตัวครอบ คือกฎหมายบังคับแต่คนไม่กล้าใส่" นายนิกร กล่าว
ขณะที่ นางเตือนใจ ฟูกูดะ เลขาธิการสมาคมวิจัยวิทยาการขนส่งแห่งเอเชีย (ATRANS) กล่าวว่า ญี่ปุ่นเคยผ่านช่วยเวลาที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนและมีคนตายถึงหลักหมื่นศพต่อปีมาแล้ว 2 ช่วง ช่วงแรกคือปี 2513 - 2515 ทำให้มีการร่างแผนแม่บทการจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนนฉบับแรก ใช้ตั้งแต่ปี 2517 - 2522 มีนายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการ ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร กระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม การกีฬาและเทคโนโลยี และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยว ดูแลงานในทุกมิติ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การดูแลถนน การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ผลคือทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลง
หน้าเว็บไซต์ของ "อิทาดะ" (ITARDA : Institute for Traffic Accident Research and Data Analysis) หรือสถาบันเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุจราจร ประเทศญี่ปุ่น
ภาพประกอบ : http://www.itarda.or.jp
กับช่วงที่สองในปี 2535 ที่พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในญี่ปุ่นกลับมาเพิ่มสูงทะลุ 1 หมื่นคนต่อปีอีกครั้ง และครั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าต้องมีสถาบันวิชาการด้านความปลอดภัยบนท้องถนน จึงเกิดเป็นสถาบันเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุจราจร หรือ "อิทาดะ" (ITARDA : Institute for Traffic Accident Research and Data Analysis) ขึ้นมาทำหน้าที่วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของอุบัติเหตุทั้งคน รถ ถนน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ สรุปเป็นรายงานเปิดเผยที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป
รวมถึงจัดเก็บฐานข้อมูลทั้งมหภาค หรือข้อมูลในภาพรวม และจุลภาค คือการสืบสวนเชิงลึกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น เมื่อมีรถไปชนกับแท่งปูนกั้นถนน ก็จะตรวจสอบว่าเป็นเพราะผู้ใช้รถหรือการวางแท่งปูน และยังแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสถาบันวิจัยเรื่องเดียวกันของต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมการขับรถของประชาชนที่บันทึกในฐานข้อมูลใบขับขี่ด้วย แต่กรณีนี้จะเป็นข้อมูลลับไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งสถิติ 9 ปีล่าสุดถือว่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากปี 2551 ที่มีผู้เสียชีวิตราว 5 พันคน ในปี 2559 เหลือเพียง 3 พันกว่าคนเท่านั้น
"ปัจจุบันญี่ปุ่นใช้แผนแม่บทฉบับที่ 10 ปี 2559 - 2564 โดยมีเป้าหมายลดการตายบนถนนให้ต่ำกว่า 2,500 รายต่อปี เพื่อให้ประเทศเป็นที่ปลอดภัยทางถนนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และลดการเกิดอุบัติเหตุให้ต่ำกว่า 5 แสนครั้งต่อปี นี่คือความหวังสูงสุดของญี่ปุ่น" เลขาธิการสมาคมวิจัยวิทยาการขนส่งแห่งเอเชีย ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี