พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของศูนย์รับแจ้งเข้า-ออกการทำประมง (PIPO) ประชุมหารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการพัฒนาปรับปรุงระบบการตรวจเอกสารแจ้งเข้า-ออกเรือประมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ชาวประมง และผู้ประกอบการประมงให้เกิดความรวดเร็ว และสะดวกมากยิ่งขึ้นนั้น
โดยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้หารือแนวทางปฏิบัติร่วมกันในการพัฒนาระบบการตรวจเอกสารแจ้งเข้า-ออกเรือประมงให้สะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ และไม่ขัดกับข้อกฎหมาย โดยในส่วนเอกสารทั้งหมด 17 รายการ พบว่า มีจำนวน 10 รายการ ที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ PIPO สามารถสืบค้นได้จากระบบฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้ทันทีเช่น ทะเบียนลูกจ้าง บัญชีคนประจำเรือใบรายงานตัวลูกจ้าง สัญญาจ้างแรงงานทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ เป็นต้น แต่ยังให้คงเอกสารตรวจเรือประมงที่ชาวประมงต้องสำแดงจำนวน 7 รายการ ได้แก่ บัญชีรายชื่อคนประจำเรือ (Seabook) สมุดบันทึกการทำประมง (Logbook) ใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ การจ่ายค่าจ้าง ดังนั้น การปรับลดขั้นตอนการแสดงเอกสารดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด แต่ชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาปรับปรุงระบบการตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลฐานของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
“การปรับระบบการตรวจเอกสารเข้า-ออกเรือประมงของศูนย์รับแจ้งเข้า-ออกการทำประมง (PIPO) จะถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายพิจารณาในวันที่ 16 พ.ค.นี้ เพื่อให้มีผลปฏิบัติทันทีตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดภาระและอำนวยความสะดวกให้กับชาวประมง และมั่นใจว่ามาตรการนี้จะทำให้ชาวประมงที่ปฏิบัติดีได้รับความสะดวก ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จะสามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้โดยตรงมากยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นถึงการกำกับดูแลการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2559 มีการพัฒนาระบบการควบคุมการประมงและแรงงานดีขึ้น สามารถแยกน้ำดีออกจากน้ำเสียได้อย่างชัดเจน”
พล.อ.ฉัตรชัย ยังกล่าวถึงข้อเสนอของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ที่ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการรับซื้อเรือคืนนั้นพบว่า ปัจจุบันมีเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตถูกล็อกอยู่ที่ท่า จำนวน 766 ลำ มีตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ซึ่งได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าและกรมประมงเร่งรัดติดตามเรือประมงที่ยังไม่ทราบสถานะที่ชัดเจน ให้เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน เพื่อให้ได้จำนวนเรือชัดเจนแน่นอน ที่รัฐจะต้องใช้มาตรการบริหารจัดการ เช่น การควบรวมเรือการแลกเปลี่ยนเรือ และการซื้อเรือคืน เพื่อให้แก้ปัญหาได้ตรงความต้องการของชาวประมงที่เป็นเจ้าของเรือแต่ละประเภท อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาดำเนินการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี