ไม่นานนี้ “แนวหน้า” เคยนำเสนอประเด็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช “ไกลโฟเซต-พาราควอด” (Glyphosate-Paraquat) ที่มีข้อถกเถียงกันว่า “ประเทศไทยควรห้ามใช้..หรือให้ใช้ได้ภายใต้การควบคุม?” หลังมีรายงานพบสารตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรและในสิ่งแวดล้อม ในมุมของฝ่ายที่เชื่อว่าสารเคมีทั้ง 2 “หากใช้ถูกวิธีย่อมไม่เกิดอันตราย” อีกทั้ง “ถ้าไม่ให้ใช้ต้นทุนการเกษตรจะเพิ่มสูงมาก” พร้อมทั้งยกตัวอย่างบางประเทศที่เมื่อเลิกใช้แล้วไม่มีสารอื่นทดแทน ผลคือเกษตรกรเพาะปลูกยากขึ้น ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหาร
(“สารเคมีเพื่อการเกษตร” อันตรายแน่..หรือแค่ใช้ไม่เป็น? : หน้า 13 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 9 ม.ค. 2561, “ไกลโฟเซต*พาราควอด” “ห้าม-ปล่อย” ทางไหนก็กระทบ : หน้า 17 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 16 พ.ค. 2561) ส่วนวันนี้ จะเป็นมุมมองของนักวิชาการที่ค้นพบ “อันตรายของไกลโฟเซต-พาราควอดต่อร่างกายมนุษย์” โดยเปิดเผยในเวทีวิชาการ “ข้อเท็จจริงทางวิชาการในการคุมสารเคมีอันตรายพาราควอด (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกามีรายงานการค้นพบผู้ป่วยโรค“พาร์กินสัน” (Parkinson) จำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญในพื้นที่ทำการเกษตร โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ปี 2517 ที่เริ่มมีมาตรการให้เกษตรกรผู้ใช้พาราควอดต้องขึ้นทะเบียน ด้วยการนำเกษตรกรกลุ่มดังกล่าวมาตรวจสอบรหัสพันธุกรรม และพบว่าหลายตัวมีความผิดปกติที่เกี่ยวพันพาราควอด รวมถึงสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในการเกษตร
“พาราควอดสามารถเข้าทางเส้นเลือดที่จมูกได้ และเส้นเลือดที่จมูกเชื่อมกับสมองที่หน้าผาก จากที่หายใจละอองฝอยๆ เข้าไปทางปาก เข้าไปทางผิวหนังอ่อนเช่นง่ามขาง่ามก้น หรือบริเวณที่เป็นแผล มีรายงานว่าแค่มีแผลเล็กๆ ที่ผิวหนังแค่นั้นเอง นอกจากจะเกิดแผลที่ผิวหนังตรงนั้นแล้ว มันยังซึมเข้าเลือดไปทำลายปอด ทำให้ปอดอักเสบ ปอดมีเยื่อพังผืด และเสียชีวิตในที่สุด” นพ.ธีระวัฒน์ ระบุ
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.จุฑามาศ สัตยวิวัฒน์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการเภสัชวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าวถึงอันตรายของพาราควอดต่อระบบหายใจของมนุษย์ว่า เมื่อพาราควอดเข้าไปอยู่ในปอดก็จะสร้าง “อนุมูลอิสระ” ต้นเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็ง ส่วนความเป็นพิษเฉียบพลันคือทำให้เกิดพังผืดในปอด ผู้ได้รับสารพิษจะหายใจไม่สะดวก ขาดออกซิเจน
“เรามักจะพูดกันว่าพาราควอดมีประโยชน์เรื่องเพิ่มผลผลิต แต่การควบคุมการใช้ค่อนข้างยาก ก็อยากจะฝากถึงเกษตรกรของบ้านเราที่อาจจะไม่ได้ทราบถึงพิษภัยของพาราควอดว่าถ้ามันเข้าไปในร่างกายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” หัวหน้าห้องปฏิบัติการเภสัชวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าว
จากทฤษฎีในห้องปฏิบัติการสู่พื้นที่จริง ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ อาจารย์ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการศึกษา “ครอบครัวเกษตรกร” กับการปนเปื้อนสารเคมีในเลือดพบว่า “หญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในแปลงเกษตรแม้ไม่ได้เป็นผู้ฉีดพ่นพาราควอดเองแต่ก็ได้รับสารเคมีด้วย” เช่นเดียวกับกรณีของคลอร์ไพริฟอสที่เป็นสารกำจัดแมลง (ไกลโฟเซตกับพาราควอดเป็นสารกำจัดวัชพืช) จากที่เคยสำรวจในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ที่ทำนาข้าว พบปริมาณคลอร์ไพริฟอสในอากาศสูงกว่าค่ามาตรฐานในบางจุด และร้อยละ 90 ของเกษตรกรพบสารคลอร์ไพริฟอสในเลือด
“บ้านเรารณรงค์ให้แม่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตัวเอง เราก็ไปขอเก็บตัวอย่างน้ำนม ปรากฏว่า 51 ตัวอย่าง พบคลอร์ไพริฟอส 21 ตัวอย่าง พอเด็กเกิดมารับประทานน้ำนม พบคลอร์ไพริฟอสเกินเอดีไอ (Acceptable Daily Intake : ADI) จำนวนที่บริโภคได้ต่อวัน) ไป 4.8 เปอร์เซ็นต์ อีไทออน (Ethion) เกินไปร้อยละ 76.2 ส่วนไกลโฟเซตพบว่าส่งผ่านมารดาไปถึงทารกได้ ผลตรวจซีรัมมารดาพบไกลโฟเซต 54 เปอร์เซ็นต์ ในสายสะดือทารก 49 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเป็นเกษตรกร การตรวจพบไกลโฟเซตจะสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรถึง 11.9” อาจารย์พรพิมล กล่าว
ขณะที่ ผศ.ดร.นพดล กิตมะหัวหน้าภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงการสำรวจ น่าน 1 ในจังหวัดที่ใช้สารเคมีเกษตรอย่างหนัก พบการปนเปื้อนของสารกำจัดศัตรูพืช แอทราซิน (Atrazine) ในแหล่งน้ำตั้งแต่ในนาจนถึงแม่น้ำน่าน และพบความผิดปกติของสัตว์ เช่นกบหนอง กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ปนเปื้อนสารเคมีมากน้ำหนักตัวจะเบากว่ากลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ปนเปื้อนสารเคมีน้อยหรือไม่มีการใช้สารเคมี มีการเจริญของรังไข่ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูสืบพันธุ์ และภูมิคุ้มกันลด
หรือ ปูนา น้ำหนักตัวของกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ปนเปื้อนสารเคมีค่อนข้างน้อยเช่นกัน ลักษณะของก้ามและกระดองท้องผิดปกติ ซึ่งแม้จะเป็นข้อค้นพบเฉพาะในสัตว์ยังไม่มีผลตรวจในมนุษย์ แต่ก็เป็นเรื่องน่าห่วงหรือไม่?เช่น การทำ “น้ำปู” อาหารขึ้นชื่อชนิดหนึ่งทางภาคเหนือของไทย ซึ่งพาราควอดต้องใช้ความร้อนถึง 300 องศาเซลเซียสถึงจะสลายไป แต่การทำน้ำปูคงไม่ได้ใช้ความร้อนสูงขนาดนั้น
“สารเคมีเกษตรอาจไม่ใช่ทางปฏิบัติเพียงอย่างเดียว มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ มีแปลงหนึ่งที่ไม่ใช้สารเคมีเลย ปลูกพืชเหมือนเดิม แต่ได้ผลผลิต 2 เท่าของนาทั่วไป แต่วิธีกำจัดวัชพืชของเขาคือใช้แรงงาน ต้องดายหญ้าถางหญ้า ไถพลิกให้ดินโดนแดด แล้วทำไมเกษตรกรอื่นๆเห็นตัวอย่างจากบ้านนี้แล้วไม่ทำตาม?มีปัจจัยหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่พบคือแปลงนี้ทำได้ผลผลิตมากกว่าแปลงอื่น 2 เท่า ไม่ใช้สารเคมี ก็คือทำนาครั้งเดียวต่อปี เวลาที่เหลือให้ดินได้พัก ให้สุขภาพได้พัก แต่มันก็มีมุมมองว่าอยู่เฉยๆ ครึ่งปี หนี้สินมาเรื่อยๆ จะทำอย่างไร” อาจารย์นภดล ยกตัวอย่าง
ด้าน รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล ผู้อำนวยการสถานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ฝากข้อคิดว่า หลายคนอาจมอง “เกษตรอินทรีย์มีต้นทุนสูงกว่าเกษตรเคมี” แต่อยากให้คิดในแง่ “ต้นทุนสารเคมีที่ใช้” ที่เอาจริงๆ ค่าใช้จ่ายอาจจะ “สูงกว่า” ด้วยความที่เกษตรกรไทยมักนิยม “ใช้ในปริมาณเยอะกว่าที่กำหนดไปมาก เฉลี่ย 6-8 เท่า” และจริงๆ เกษตรอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จมีมากมาย แต่ไม่ค่อยได้รับการเผยแพร่หรือส่งเสริมในวงกว้าง
“หลายพื้นที่ไม่ใช้สารเคมีแต่เขามีเทคนิคคลุมวัชพืช เขาทำได้อย่างไร? อันนี้เป็นเทคนิคที่ควรนำมาเผยแพร่ ต้องฝากทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย” อาจารย์พวงรัตน์ ฝากข้อคิด
ในเบื้องต้นคงต้องลุ้นวันที่ 23 พ.ค. 2561 ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ว่าจะมีมติกับสารเคมีเกษตร 3 ชนิด คือพาราควอดไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสอย่างไร? จะห้ามใช้เด็ดขาดหรือใช้ภายใต้มาตรการคุมเข้ม? แต่ระยะยาวหากมุ่งประโยชน์ด้านสุขภาพทั้งผู้บริโภคอาหารรวมถึงเกษตรกรและครอบครัว
ภาคเกษตรไทยคงต้อง “ปรับทั้งระบบ” และภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ามาช่วยเกษตรกรในระยะเปลี่ยนผ่านอย่างจริงจัง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี