21 พ.ค.61 มูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย (AIP) โดยโครงการ LDP ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดเสวนา “นโยบายการจัดการมาตรฐานและความปลอดภัยสำหรับรถรับส่งนักเรียน” ณ รร.สุโกศล ถ.ศรีอยุธยา กรุงเทพฯ ซึ่งภายในงานมีการเปิดเผยสถิติการเกิดอุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียนในปี 2560 พบว่ามีจำนวน 30 ครั้ง เป็นรถกระบะมากที่สุด 15 ครั้ง รองลงมา รถตู้ 6 ครั้ง อันดับ 3 รถบัส 5 ครั้ง และอันดับ 4 รถบรรทุก 6 ล้อ 4 ครั้ง
นายธัชวุฒิ จาดบันดิสถ์ นักวิชาการด้านรถโดยสารสาธารณะ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่า หากเทียบกับปี 2558 และ 2559 แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียนจะลดลง โดยปี 2558 มีผู้เสียชีวิต 24 ศพ ส่วนปี 2559 และ 2560 เหลือเพียงปีละ 7 ศพ แต่จำนวนผู้บาดเจ็บกลับเพิ่มสูงขึ้น จากปี 2558 จำนวน 212 คน ปี 2559 เพิ่มเป็น 254 คน และปี 2560 เพิ่มเป็น 386 คน ซึ่งตนมองว่า อาจเป็นเพราะนโยบายจัดระเบียบอย่างจริงจังของภาครัฐ ทำให้รถที่สภาพไม่ปลอดภัยเลิกวิ่งไปจำนวนหนึ่ง
ธัชวุฒิ จาดบันดิสถ์
โดยปัจจัยที่มีผลต่อปัญหารถรับส่งนักเรียนที่ไม่ได้มาตรฐาน แบ่งได้ 4 ส่วนคือ 1.พนักงานขับรถ ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านรายย่อย ตอนเช้าขับรถพานักเรียนจากบ้านไปส่งที่โรงเรียนแล้วก็ไปทำงานหลักของตน จากนั้นตอนเย็นก็มารับนักเรียนไปส่งตามบ้าน ไม่ได้รวมตัวเป็นกลุ่มผู้ประกอบการหรือชมรม ไม่มีเงินทุนในการปรับปรุงสภาพรถให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย และขาดความรู้ว่าการใช้รถที่ไม่ปลอดภัยจะเป็นอันตรายกับเด็กๆ อย่างไรบ้าง
2.โรงเรียน การจัดรถรับส่งนักเรียนไม่ได้อยู่ในแผนการจัดการศึกษา โรงเรียนจำนวนมากจึงไม่เห็นความสำคัญเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่ส่วนกลางมีนโยบายสั่งลงมา 3.ภาครัฐ แม้จะมีงบประมาณพร้อม แต่อาจไม่เข้าใจบริบทพื้นที่ พอใช้กฎหมายนำก็ถูกประชาชนต่อต้าน และ 4.ครอบครัว พ่อแม่ผู้ปกครองเมื่อจ่ายเงินให้คนขับรถแล้วก็มักจะมองว่าเป็นหน้าที่คนขับที่ต้องดูแลชีวิตผู้โดยสาร ไม่ติดตามดูว่าขับรถอย่างไร บุตรหลานไปถึงโรงเรียนแล้วหรือยัง
ภาพประกอบ : https://www.facebook.com/LDPTH/ (เฟซบุ๊คแฟนเพจ “Ldp-Thailand”)
“ในปี 2560 เราสรุปสาเหตุของอุบัติเหตุมาได้ 3 ประเด็น เป็นเรื่องคนขับทั้งนั้นเลย 1.ขับลงข้างทางเอง หลับใน ป่วย 2.เป็นความผิดร่วม เช่น ขับไปชนหรือขับไปแล้วถูกชน 3.สภาพร่างกายไม่ไหว คือเป็นโรคหัวใจกำเริบ แล้วถึงจะมาเรื่องของสภาพรถไม่พร้อม มันบอกได้ว่าการจัดการของเราควรจัดการเรื่องคนขับรถเป็นหลักมากกว่ามาตรฐานตัวรถ ทุกวันนี้เรายังไม่มีมาตรการมาแก้ไข” นายธัชวุฒิ กล่าว
ขณะที่ นายพิสิษฐ์ วงษ์เธียรธนา นักกฎหมายชำนาญการพิเศษ กองกฎหมาย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า แม้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะมีหน้าที่ตามกฎหมายในด้านส่งเสริมการศึกษา แต่ก็ครอบคลุมเพียงหลักสูตร บุคลากร สภาพแวดล้อมในโรงเรียน สร้างความเป็นเลิศทางวิชาการ อุปกรณ์การเรียนต่างๆ แต่ไม่รวมถึงการจัดบริการรถรับส่งนักเรียนที่ได้มาตรฐานด้วย เรื่องของรถรับส่งนักเรียนจึงจัดอยู่ในหมวดสังคมสงเคราะห์ ดังนั้นแม้ท้องถิ่นต้องการปรับปรุงรถรับส่งนักเรียนก็ไม่สามารถทำได้ เพราะติดขัดระเบียบราชการ
พิสิษฐ์ วงษ์เธียรธนา
“เมื่อหลายปีก่อนเคยมีโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ที่โรงเรียนจัดรถรับส่งแบบดีมากเลย มีการออกเป็นจุดขายของโรงเรียน เป็นโรงเรียนของ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) ผลคือผู้ปกครองส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่กันจนโรงเรียนรอบนอกไม่มีใครไปเรียน แสดงว่าผู้ปกครองให้ความสำคัญกับเรื่องการรับส่งบุตรหลาน แต่ต่อมาหน่วยงานตรวจสอบด้านการเงินก็เข้าไป บอกว่าการจัดบริการขนส่งสาธารณะไม่ได้อยู่ในอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น อบจ.ปทุมธานี ทำผิดระเบียบ ขอเรียกเงินคืน” นายพิสิษฐ์ ระบุ
ด้าน น.ส.อรทัย จุลสุวรรณรักษ์ ผู้จัดการ AIP ประจำประเทศไทย เสนอแนะว่า ต้องมีคณะกรรมการ 3 ฝ่ายประกอบด้วย 3 หน่วยงานหลักจาก 3 กระทรวง คือ 1.กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ดูแลโรงเรียน 2.กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งรับผิดชอบการตรวจสอบมาตรฐานรถยนต์รวมถึงคนขับ และ 3.กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพราะเป็นหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของ อปท.ทั่วประเทศ
ส่วนการทำงาน ตนอยากเห็นกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักออกระเบียบว่าด้วยการจัดรถรับส่งนักเรียน ใช้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ส่วนกระทรวงคมนาคม จะทำให้อย่างไรให้กรมการขนส่งทางบกเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนเพื่อปรับปรุงสภาพรถ และต้องมีงบประมาณสนับสนุน เพราะโรงเรียนจำนวนมากอยู่นอกเมืองหรือในชนบท ไม่มีงบประมาณเพียงพอดำเนินการได้เอง ดังนั้นท้องถิ่นต้องสามารถเข้าไปช่วยสนับสนุนโรงเรียนในการจัดรถรับส่งนักเรียนได้โดยไม่ผิดระเบียบราชการ ซึ่ง อปท. หลายแห่งอยากทำอยู่แล้วแต่ยังติดอุปสรรคตรงจุดนี้
อรทัย จุลสุวรรณรักษ์
“การจัดหารถโรงเรียนที่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ช่วยลดเด็กบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถโดยสารเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อภาพรวมความปลอดภัยของท้องถนนประเทศไทยด้วย ในไทยจะเห็นว่าการใช้มอเตอร์ไซค์เกิดอุบัติเหตุค่อนข้างมาก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เราจะเห็นการรณรงค์ไม่อยากให้เด็กต่ำกว่า 15 ปีขี่มอเตอร์ไซค์ ทางหนึ่งที่เป็นคำตอบคือถ้าเรามีรถรับส่งนักเรียนที่ได้มาตรฐาน เราไปบอกเด็กว่าอายุไม่ถึงอย่าเพิ่งขี่ มันช่วยได้ ทุกวันนี้สาเหตุหลักๆ ที่พ่อแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดคือขี่ไปโรงเรียน กลายความเป็นจำเป็นด้วยซ้ำไป” น.ส.อรทัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี