ส่อเค้าจะกลายเป็นเรื่องยิ่งสาวยิ่งลึกไปเสียแล้ว สำหรับกรณีการทุจริตงบอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี และงบเผยแพร่ศาสนาในพื้นที่ กทม. กระทั่งนำไปสู่การออกหมายจับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 7 รูปประกอบด้วย
1.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร 2.พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยา 3.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และกรรมการ มส. 4.พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 5.พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศ 6.พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 7.พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม และกรรมการ มส.
โดยในจำนวนนี้ถูกจับกุมและถูกจับสึกจนกลายเป็นอดีตพระไปแล้ว 5 ราย คงเหลือเพียง พระพรหมสิทธิ และพระพรหมเมธี ที่ยังคงหลบหนีอยู่
อย่างไรก็ดี ระหว่างการสืบสวนคดีนี้ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ยังพบข้อมูลสำคัญที่แม้ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการทุจริตโดยตรง แต่ก็เกี่ยวพันกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมการเป็นสมณะเพศของพระผู้ใหญ่บางรูป
โดยผู้สื่อข่าวรายงานงานเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เปิดเผยข้อมูลโดยอ้างแหล่งข่าวในชุดสืบสวนคดีเงินทอนวัด เป็นผู้ให้รายละเอียดในเรื่องดังกล่าว ก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นปฏิบัติการจับกุมอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปตามที่ปรากฎเป็นข่าวนัั้น ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบพบว่า พระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งมีพฤติกรรมเสพเมถุนและเข้าข่ายประพฤติตนไม่เหมาะต่อการเป็นสมณะเพศ มีพฤติกรรมเสพเมถุน เข้าข่ายอาบัติปาราชิก เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี และยังได้ยักย้ายถ่ายเทเงินที่ทุจริตจาก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ไปให้กับหญิงรายนี้จำนวนหนึ่ง
โดยหลังตรวจสอบพบข้อมูลดังกล่าว ชุดสืบสวนได้เชิญตัวสีการายนี้มาสอบปากคำ พร้อมบันทึกคำให้การเอาไว้ โดยสีการายนี้ให้การว่า เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน เคยประกอบอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณในสถานบริการแห่งหนึ่ง ต่อมามีพนักงานในสถานบริการนวดแผนโบราณแนะนำให้รู้จักกับพระผู้ใหญ่รูปดังกล่าว แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าเป็นพระ เนื่องจากสวมชุดซาฟารีมาหาที่สถานบริการและสวมหมวกแก๊ป และเรียกแทนตัวเองว่า "เฮีย" ก่อนที่จะเข้าห้องไปนวดกันหลายครั้งต่อเนื่องหลายวันในช่วงกลางคืน และขอมีเพศสัมพันธ์ในสถานบริการเพื่อแลกกับเงิน 30,000 บาท ซึ่งสีการายนี้ ก็ยินยอม เพราะครอบครัวมีปัญหา ถูกสามีทิ้งและลูกชายที่เลี้ยงดูอยู่ก็เป็นเด็กพิการ โดยหลังการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้ง จะได้รับเงินค่าตอบแทน 20,000-30,000 บาท
ต่อมาสีกาคนนี้เริ่มสงสัยในพฤติกรรมของ "เฮีย" เพราะการมาพบกันแต่ละครั้งชายคนนี้เหมือนจะหลบๆซ่อนๆ จนกระทั่งวันหนึ่งพระผู้ใหญ่รายนี้ ก็ยินยอมบอกความจริงกับสีการายนี้ว่า แท้จริงแล้วตัวเองเป็นพระสงฆ์แต่แอบออกจากวัดมา พร้อมทั้งเสนอเงินเดือนให้ แลกกับการไม่ต้องทำอาชีพหมอนวด โดยจ่ายให้เบื้องต้นเดือนละ 30,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก นอกจากนี้ยังได้ส่งให้ไปเรียนเสริมสวยและเปิดร้านเสริมสวยให้ ซึ่งต่อมาชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่โรงเรียนเสริมสวยที่สีการายนี้อ้างถึง ก็พบว่ามีชื่อเคยเรียนอยู่จริงตรงกับคำให้การ
สีการายนี้ระบุอีกว่า หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนเสริมสวยแล้ว พระผู้ใหญ่คนนี้ก็ได้ให้ลูกศิษย์ชายคนสนิท พาไปพบในกุฏิภายในวัด โดยก่อนเข้าจะดูลาดเลาในช่วงที่ไม่มีใครเห็นหลายครั้ง ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน โดยในแต่ละวันที่เข้าไปพบอดีตพระผู้ใหญ่คนนี้จะให้บีบนวดให้ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กันภายในวัด โดยยอมรับว่ารู้สึกละอายใจอย่างมากที่ต้องทำเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกว่าหลวมตัวไปแล้วและรู้สึกชอบพอกับพระผู้ใหญ่คนดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินเลี้ยงดูลูกพิการอีกด้วย จึงจำยอมเพื่อแลกกับเงิน แม้ว่าบางครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กันนั้นทางวัดจะจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น เดินจงกลม หรือนั่งสมาธิ อยู่ก็ตาม และในบางวันที่ไม่มีโอกาสเข้าไปหา พระคนดังกล่าวก็จะโทรศัพท์มาหาและพูดจาชักชวนให้เล่น "เซ็กซ์โฟน" อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง พระผู้ใหญ่รูปนี้ได้พยายามตีตัวออกห่างไม่ให้เข้าพบและหลบหน้า ก่อนจะมาสืบรู้ภายหลังว่า พระผู้ใหญ่ที่ตนหลงรักไปแล้ว แอบไปมีหญิงอื่นและยังมีผู้หญิงอีกหลายคนด้วย แต่ก็ยังติดต่อกันบ้างตามโอกาส
แหล่งข่าวในชุดสืบสวนคดีเงินทอนวัด ยังระบุด้วยว่า นอกจากพระผู้ใหญ่รายนี้แล้ว ยังมีการตรวจสอบพบข้อมูลที่น่าสงสัยว่า มีพระผู้ใหญ่หลายรายที่มีชื่อพัวพันกับคดีทุจริตเงินทอนวัด มีความสนิทสนมกับสีกามากเกินความจำเป็น และบางครั้งเต็มไปด้วยพิรุธ
เช่น พระรูปหนึ่ง นอกจากจะมีการถ่ายเทเงินให้กับสีกาแล้วยังมีการเดินทางไปต่างประเทศด้วยกันปีละกว่า 10 ครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีบุคคลอื่นติดตามไปด้วย แต่เมื่อไปตรวจสอบที่นั่งโดยสารย้อนหลัง ก็พบว่านั่งเคียงข้างกันเสมอ นอกจากนี้ยังมีการเข้าพบหากันสองต่อสองในยามวิกาล ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระ
ขณะที่พระผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่ง ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน มีการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันกับสีการายหนึ่ง และยังเข้าพบหากันในตอนกลางคืนหรืออยู่ด้วยกันสองต่อสองเสมอ ซึงพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อพระภิกษุ
อย่างไรก็ตาม ในทางคดีกรณีมีเพศสัมพันธ์นั้น พนักงานสอบสวนไม่สามารถดำเนินคดีได้ เพราะการที่จะจับพระสึกจากสมณะเพศโดยการกระทำผิดเนื่องจากประพฤติอาบัติปาราชิก ซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงสุดนั้น จะต้องจับขณะที่พระสงฆ์กำลังเสพสังวาส ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นการสมยอมระหว่างคนสองคน
แต่ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำพยานและบันทึกหลักฐานต่างๆ ไว้แล้ว และอาจจะส่งประกอบสำนวนให้กับพนักงานอัยการด้วยก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับในที่ประชุมพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสำนวนสักระยะ
และทั้งหมดนี้ อาจเป็นเหตุผลเบื้องลึกสำคัญ ที่นำไปสู่การไขคำตอบว่า ทำไม ปฏิบัติ จับกุม-จับสึก อดีตพระผู้ใหญ่หลายรูป ในช่วงวันที่ 24 พ.ค.2561 ถึง ร้อนแรง รุนแรง รวดเร็ว แบบที่ไม่เคยปรากฎให้เห็นในสังคมไทยมาก่อนหน้านี้
ที่มาข่าว สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี