"หมออุดม"ชี้การศึกษาไทยยังเดินไม่ถูกทาง ปัญหาคือครูส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักคิดที่ถูกต้อง จะต้องปรับทัศนคติที่ดีของครูทั้งประเทศ ย้ำระบบทีแคสดีแก้ปัญหาได้หลายอย่าง ลดเวลาสมัครเหลือ2เดือน เพื่อไม่ให้เด็กรอนานเกินไป
13 มิ.ย.61 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ย้ำว่าสถานศึกษาต้องเร่งพัฒนาคน การจะปฏิรูปการศึกษาสิ่งสำคัญที่สุดคือความชัดเจน ที่มีข่าวการสอบคัดเลือกเด็กอนุบาล ประถมศึกษาปีที่ 1 การสอบภาษาอังกฤษเด็ก ป.3 จะต้องไปพิจารณาใคร่ครวญดูว่า ทำแล้วเกิดประโยชน์อะไรหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มกับที่ทำและเสียประโยชน์ ทำให้ผู้ปกครองเดือดร้อน ก็ให้ยกเลิกไป หาวิธีการอื่น ว่า สิ่งที่นายกฯ สั่งการหรือให้นโยบาย ถือว่าถูกต้อง ซึ่งการจัดการศึกษาทั้งระบบจะต้องสอดคล้องกัน ที่ผ่านมาการศึกษาของบ้านเรายังมาไม่ถูกทาง การให้เด็กสอบเข้า ป.1 สอบภาษาอังกฤษ ป.3 หรือให้เด็กกวดวิชามากเกินไป ต้องกลับไปดูหลักการของการจัดการศึกษาจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร เมล็ดพันธุ์ที่ดี จะต้องมีความรู้พื้นฐานที่ทันสมัย นำไปประยุคใช้ได้ เด็กต้องมีคุณลักษณะ คือ รักชาติ มีจิตรใจที่จะทำเพื่อสังคม มีคุณธรรม มีวินัย และมีทักษะชีวิต หรือทักษะศตวรรษที่ 21 การเป็นผู้นำ อยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราชจะต้องบ่มเพาะตั้งแต่เด็กและให้เด็กเรียนรู้วัฒนธรรม เรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากภาคอุตสาหกรรม เอกชนในท้องถิ่น การเรียนในห้องเรียนต้องลดลง การเรียนจะต้องไม่เน้นวิชาการ เพราะเนื้อหาวิชาการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ควรเน้นทักษะและสมรรถนะซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญหาคือ ครูส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักคิดที่ถูกต้อง ดังนั้น จะต้องมีการปรับทัศนคติที่ดีของครูทั้งประเทศ
รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า ศธ.ต้องปรับบทบาทใหม่ ว่า ศธ.ไม่ใช่เจ้าของจัดการศึกษาของประเทศ แต่เป็นของคนไทยทุกคน ศธ.คอยทำหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุน และให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โดยมีรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดสรรงบฯ สนับสนุน และทำให้โรงเรียนมีคุณภาพการศึกษาที่ดี มีภาคประชาชนมาร่วมดูแล และมีมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นเป็นพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียน โดยโรงเรียนแต่ละเขตพื้นที่จะต้องมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้ปกครองอยากส่งบุตรหลานเข้าเรียน ที่สำคัญ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องมองภาพใหญ่การศึกษาของไทยให้ได้ก่อน และดูว่าทิศทางการเรียนการสอนของโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร และสถาบันที่ผลิตครูก็จะต้องปรับปรุงในการผลิตครูให้มีคุณภาพและมีหลักคิดของความเป็นครูที่ถูกต้องด้วย
ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ด้วยระบบทีแคส (TCAS) นั้น เท่าที่ฟัง นายกฯ ก็ชื่นชมว่าเป็นระบบที่มีหลักการดี สามารถแก้ปัญหา ทำให้เด็กอยู่ในห้องเรียนครบหลักสูตร ลดปัญหาการวิ่งรอกสอบหลายที่ ซึ่งระบบเดิมผู้ปกครองบางรายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเป็นแสน แต่ระบบทีแคส เสียค่าใช้จ่ายในการสมัครมากสุดไม่เกิน 6 - 7 พันบาท และที่สำคัญไม่ให้มหาวิทยาลัยเปิดรับตรงเอง ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ
นอกจากนี้ ถือเป็นครั้งแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่เปิดให้เด็กได้เห็นคะแนน แต่ข้อผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทาง ทปอ.จะต้องไปปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น ซึ่งตนได้พูดคุยกับ ทปอ.และได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้น โดยจะต้องแยกกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ออกมา เพราะเห็นแล้วว่า ทำให้เกิดปัญหาการกั๊กที่นั่ง และให้แจ้งคะแนนเฉพาะตัวบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้องเรียน ส่วนข้อกังวลที่ว่าการแจ้งคะแนนเฉพาะบุคคล จะเกิดความไม่โปร่งใสเป็นธรรมนั้น ตนคิดว่าไม่จริง เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ระบบเอนทรานซ์ ไม่เคยมีการแจ้งคะแนนให้เห็นมาก่อน แต่ควรจะกระชับเวลาการรับสมัครทีแคสให้สั้นลง ทั้ง 5 รอบ ควรใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน จากเดิมรับสมัครทีแคส 5 รอบ ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน ทำให้เด็กรอนานเกินไป
"ปัญหาเกิดขึ้นไม่ถึง 10% แต่เป็นเพราะข้อผิดพลาดที่เกิดจากการสื่อสารผ่านโซเชียล ทำให้เรื่องต่างๆ กระจายไปอย่างรวดเร็ว ยืนยันว่า ทีแคสเป็นระบบที่ดี แก้ปัญหาทั้งระบบเอนทรานซ์ และระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชั่นกลาง ดังนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับไปใช้ระบบเดิม แต่เราต้องปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น" ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี