เปิดเบื้องลึกสาเหตุอดีตพระผู้ใหญ่ 3 วัดดังใน กทม.ถูกจับดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 เพราะไม่ได้ตกเป็นเหยื่อโอนเงินกลับให้ จนท.สำนักพุทธฯที่ทุจริตเหมือนวัดอื่น แต่กลับโอนเข้าบัญชีฆราวาส-ตัวเอง-มูลนิธิฯในรูปแบบฟอกเงิน ซึ่งพระเป็นผู้กระทำทุจริตด้วยตัวเองจึงต้องถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงิน
วันนี้ (13 มิ.ย.) ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป.เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบเงินทอนวัดล็อต 4 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนของตำรวจ บก.ปปป.เพื่อหาพยานหลักฐานวัดทั่วประเทศ ที่ได้รับงบอุดหนุนเกิน 1 ล้านบาท แต่ยังไม่มีการร้องทุกข์และยังไม่มีวัดใดถูกดำเนินคดี เพราะต้องรอ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) ตรวจสอบสำนวนก่อนดำเนินการร้องทุกข์ จึงจะสรุปว่ามีจำนวนกี่วัด อย่างไรก็ตาม บก.ปปป.ได้ประชุมร่วมกับ พศ.ทุกเดือน เพื่อติดตามความคืบหน้าอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการตรวจสอบและดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่หลายรูปในคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ของเจ้าหน้าที่กองปราบปรามที่ผ่านมาว่า สำหรับรูปแบบของการทุจริตเงินวัดของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสัมพันธวงศาราม และวัดสามพระยาวรวิหาร นั้น แตกต่างจากการดำเนินคดีเงินทอนวัดในครั้งที่ผ่านๆ มา เนื่องจากรูปแบบเดิมที่พบในวัดต่างจังหวัดนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะเป็นฝ่ายเสนองบประมาณให้วัดไปทำโครงการต่างๆ แต่เงินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ กลับถูกโอนคืนกลับไปให้ข้าราชการในสำนักพุทธฯ บางวัดพระจึงกลายเป็นเหยื่อของการกระทำความผิด ทางตำรวจจึงไม่ได้ดำเนินคดีกับพระ แต่ได้กันไว้เป็นพยานเพราะถือว่าไม่มีเจตนา
แต่กรณีของวัดดังในกรุงเทพฯ ทั้ง 3 วัดนั้น พระไม่ได้โอนเงินกลับไปยังเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ แต่เงินที่ได้รับมาเพื่อทำโครงการต่างๆ กลับถูกโอนเข้าบัญชีฆราวาส บัญชีตัวเอง หรือมูลนิธิฯ บางแห่งแทน ในรูปแบบของการฟอกเงิน ซึ่งตัวพระเป็นผู้ที่กระทำทุจริตด้วยตัวเองจึงต้องถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงิน เพราะพระไม่ได้เป็นเหยื่อ เหมือนคดีเงินทอนวัดที่ผ่านมา
วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม นายวรากร พงศ์ธนากุล ประธานเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา พร้อมด้วย พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตธมโม ประธานสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี 2,600 ปี และเป็นพระลูกวัดโพทะเล จ.พิจิตร เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ รอง ผบก.ป.เพื่อยื่นหนังสือร้องขอให้ทางกองปราบปรามดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดีการทุจริตเงินทอนวัด ในความผิดฐานตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายวรากร กล่าวว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ให้เอาผิดต่อพระสงฆ์ในคดีเงินทอนวัดจนมีการจับกุมพระสงฆ์จำนวนหลายรูป แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ที่ผ่านมายังคงมีข้าราชการของสำนักงานพระพุทธฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัด แต่ยังไม่ถูกดำเนินคดีหลายราย ตนเองจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ตำรวจกองปราบปราม สืบสวนขยายผลและดำเนินคดีให้ครบทุกคนที่เกี่ยวข้อง
นายวรากร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนยังอยากให้มีการดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.พงศ์พร ตามความผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย เป็นผลมาจากกรณีที่มีการออกหนังสือคำสั่งที่ 0001/06036 ฉบับลงวันที่ 8 มิถุนายน 2561 ที่มีการขอให้ทำการตรวจสอบบัญชีวัด และชี้แจงการใช้จ่ายเงิน ซึ่งทางตนและประชาชนคนอื่นๆ นั้นไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เป็นเพียงผู้สนับสนุนพระ ไม่ใช่ผู้ปกครองพระ และการกระทำแบบนี้จึงเป็นการกระทำเกินหน้าที่ ส่วนการห้ามพระสงฆ์ถือครองเงินที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ อ้างว่าต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยนั้น มองว่าควรเป็นอำนาจของมหาเถรสมาคมเป็นผู้ดำเนินการ
ด้าน พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา กล่าวว่า พระเองก็มีความจำเป็นในการใช้เงินในการดำรงชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป เพราะพระเองก็ต้องใช้เงินเพื่อใช้จ่ายในการเดินทาง ใช้จ่ายในเรื่องการเรียนการสอน เพราะเป็นกฎกติกาของสังคมในปัจจุบัน ส่วนการถือครองเงินควรเป็นรูปแบบบัญชีของวัดหรือไม่นั้น มองว่าวัดแต่ละแห่งมีรูปแบบการจัดการระบบเงินแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละวัดจะนำมาใช้จ่ายแบบใด อีกทั้งพระสงฆ์บางรูปมีทรัพย์สินบางส่วนติดตัวมาตั้งแต่ก่อนบวชในรูปแบบของมรดกจึงอยากให้แยกบัญชี เพราะพระบางรูปช่วงเวลาการบวชแตกต่างกัน เมื่อสึกออกไปจึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินดังกล่าวออกไปใช้
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา พร้อมกับทำการสอบรายละเอียดของเรื่องดังกล่าว ก่อนจะรวบรวมเรื่องทั้งหมดส่งให้กับทางผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณาดำเนินการสั่งการต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเคยปีนเสาส่งสัญญาณวิทยุย่านพุทธมณฑลสาย 3 เพื่อประท้วงกรณีที่ดินของสำนักสงฆ์ฯ ถูกยึดเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา
ส่วน นายวรกร พงศ์ธนากุล เคยเป็นหนึ่งทีมทนายความให้ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ในคดีที่ นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท และยังเป็นทนายความของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว อีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี