ทส. ถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี 2561 กำชับหน่วยงานบูรณาการแก้ไขปัญหา ทำงานแบบไร้รอยต่อ เพื่อผลสำเร็จอย่างยั่งยืน
วันที่ 14 มิถุนายน 2561 พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสรุปผลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ (After Action Review: AAR) ปี 2561 ณ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และผู้แทนหน่วยงานใน 9 จังหวัดภาคเหนือ เข้าร่วม
พล.อ.สุรศักดิ์ ได้ขอบคุณกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานหลักที่ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหา และได้บูรณาการหน่วยงานภายใต้กลไกของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และการอำนวยการสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดตามระบบ Single Command ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งการลาดตระเวนป้องปรามการตรวจหาไฟป่าและการเผา การระดมสรรพกำลัง อุปกรณ์เครื่องมือ จากกองทัพภาคที่ 3 ตำรวจ เครือข่ายอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้า ดับไฟก่อนเกิดการลุกลาม มีการให้รางวัลหมู่บ้านดีเด่น และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิด
นอกจากนี้ จังหวัดยังได้กำหนดพื้นที่เสี่ยงหรือหมู่บ้านเสี่ยงที่เกิดการเผาซ้ำซากจากการข่าวและข้อมูลสถิติย้อนหลัง เพื่อตรึงกำลังเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการเผา ดำเนินมาตรการเพื่อเปลี่ยนกลุ่มคนจุดไฟเผาป่าให้เป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและดับไฟ ภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนงบประมาณ อุปกรณ์ยังชีพในป่า สถาบันการศึกษาสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อการติดต่อสื่อสารและติดตามตรวจสอบจุดเกิดไฟ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าดับไฟของเจ้าหน้าที่ กรมควบคุมมลพิษ และสำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารเสนเทศ ติดตามเฝ้าระวังและรายงานข้อมูลเพื่อประกอบ การวางแผนรับมือปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่องและทันสถานการณ์ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ จุดความร้อนและปริมาณฝุ่นละอองใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
พร้อมกันนี้ พลเอก สุรศักดิ์ ยังได้ขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงในการรายงานสถานการณ์ ร่วมประณามคนเผาป่าและสร้างค่านิยมที่ถูกต้องให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า คพ.ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์หมอกควัน 9 จังหวัดภาคเหนืออย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม เป็นประจําทุกปี โดยในปี 2561 แต่ละจังหวัดได้ประกาศช่วงห้ามเผาอย่างเด็ดขาด จังหวัดตากและลําปางเป็นจังหวัดแรกที่ประกาศห้ามเผา ระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ – 10 เมษายน 2561 และจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดสุดท้ายที่ได้กําหนดช่วงเวลาห้ามเผา ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2561 โดยข้อมูลผลการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2561 พบว่า ปริมาณฝุ่นละอองเฉลี่ย 24 ชั่วโมงสูงสุดเท่ากับ 233 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลําปาง ในวันที่ 7 มีนาคม 2561 สําหรับจํานวนวันที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน พบว่า จังหวัดตากมีปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานสูงสุด จำนวน 19 วัน ขณะที่จังหวัดพะเยาเป็นเพียงจังหวัดเดียวที่มีปริมาณฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ในส่วนสถานการณ์จุดความร้อนสะสม 9 จังหวัดภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2561 จากการเปรียบเทียบข้อมูลจุดความร้อนสะสมรายจังหวัดในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 พฤษภาคม 2561 พบจำนวนความร้อนในพื้นที่ 9 จังหวัด จำนวน 4,717 จุด ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2560 ที่พบจำนวนจุดความร้อน 5,418 จุด หรือลดลงประมาณร้อยละ 13 เมื่อพิจารณาจำนวนจุดความร้อนสะสมรายจังหวัด พบว่า จังหวัดตาก มีจุดความร้อนสะสมสูงที่สุด 1,377 จุด รองลงมาจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจุดความร้อนสะสม 915 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ มีจุดความร้อนสะสม 650 จุด ตามลำดับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี