จับตาการประชุม มส.พุธที่ 20 มิ.ย. "พงศ์พร" เตรียมตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงประเด็นร้อนสถานการณ์ศาสนาด้วยตนเองทั้ง "คดีทุจริตเงินทอนวัด จับพระผู้ใหญ่ ห้ามพระจับเงิน" พร้อมเปิดปากให้สัมภาษณ์สื่อหลังรูดซิบมานาน จนสังคมเริ่มอึดอัด ขณะที่ อพช.รุกคืบยื่นหนังสือผู้ตรวจการแผ่นดินก่อนส่งศาล รธน.ตีความ กม.สงฆ์จับพระสึกก่อนศาลพิพากษาถึงที่สุดขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่หรือไม่
วันนี้ (18 มิ.ย.) หลังจากมีกระแสรายงานข่าวว่า พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) เตรียมที่จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่ภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ในวันพุธที่ 20 มิ.ย.นี้ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชติ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อตอบคำถามชี้แจงประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการทุจริตเงินทอนวัด การจับกุมพระผู้ใหญ่ รวมทั้งเรื่องที่สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ถูกโจมตีกล่าวหาว่าบิดเบือนข้อมูลทำลายพระพุทธศาสนา รวมทั้งกรณีการห้ามพระสงฆ์จับเงิน ที่กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ต่อไป พ.ต.ท.พงศ์พร จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด เนื่องจากที่ผ่านมา พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์และพยายามหลบเลี่ยงการตอบคำถามผู้สื่อข่าวจนอาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดได้
วันเดียวกัน องค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (อพช.) นำโดย พระมหาทนงค์ วิสุทฺธสีโล วัดใหม่พิเรนทร์ เลขานุการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (อพช.) และคณะพระสงฆ์รวม 6 รูป ได้เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายประจักษ์ธรรม โรจนะภิรมย์ เจ้าหน้าที่สอบสวนอาวุโส ขอให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การสึกพระภิกษุ สามเณร ทีกระทำผิดก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยอ้างว่า พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29 ที่บัญญัติว่า พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือภิกษุรูปนั้นไม่ได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่งให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุสงฆ์สละสมณเพศได้ และมาตรา 30 ที่ว่า เมื่อต้องจำคุก กักขัง พระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล ให้พนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุที่ต้องจำคุกตามคำพิพากษาสละสมณเพศเสียได้ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ที่ระบุว่าในคดีอาญาก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่มีความผิด และให้ปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดไม่ได้ และมาตรา 27 ระบุว่า ทุกคนจะต้องได้รับสิทธิและเสรีภาพความคุ้มครองอย่างเท่าเทียม และไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุแห่งความแตกต่างเรื่องเพศ ชาติ ความเชื่อทางศาสนา หรือไม่
“พ.ร.บ. คณะสงฆ์ มาตรา 15 จัตวา มาตรา 26 และมาตรา 28 ยังกำหนดเรื่องการสละสมณเพศ หรือการสึกพระ สามเณร ที่กระทำความผิดว่าจะกระทำได้เมื่อมีคำวินิจฉัยถึงที่สุด สอดรับกับรัฐธรรมนูญมาตรา 29 และ มาตรา 27 แต่มาตรา 29 และ 30 ของ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ฉบับเดียวกันนี้ กลับสามารถลงโทษพระ และสามเณรโดยให้สามารถสละสมณเพศ หรือ สึก ก่อนที่คำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น เนื้อหาทั้งสองมาตราดังกล่าวของ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ จึงทำให้บุคคลไม่เสมอกันในทางกฎหมาย สิทธิ และเสรีภาพไม่ได้รับการคุ้มครองกันอย่างเท่าเทียม”
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยขัดรัฐธรรมนูญ ทาง อพช. จะดำเนินการขอคุ้มครองตัวชั่วคราวในเรื่องของกฎหมายคณะสงฆ์ ก่อนจะเตรียมยื่นเรื่องเพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ต่อไป ซึ่งการยื่นเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับที่ขณะนี้มีการดำเนินคดี กับพระภิกษุสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ เพราะไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพราะก่อนหน้านี้ ทาง อพช. ได้มีการศึกษาการดำเนินคดีกับพระภิกษุในหลายๆ กรณี และเห็นว่า กฎหมายมีปัญหา พร้อมยืนยันไม่ได้เป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ อพช. จะเดินทางมายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ให้ข้อมูลว่าต้องมายื่นเรื่องผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดินก่อน
ทั้งนี้ พระมหาทนงค์ วิสุทฺธสีโล วัดใหม่พิเรนทร์ เลขานุการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวภายหลังเข้ายื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า อพช.มายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความระหว่างกฏหมายสงฆ์และหมายบ้านเมือง กรณีจับพระสึก ก่อนคดีความจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ว่าขัดหรือแย้งกันหรือไม่เท่านั้น ไม่ได้ยื่นกรณีอื่นๆนอกเหนือจากนี้และการมาครั้งนี้ของอพช.ไม่ใช่การออกมาเคลื่อนไหวหรือการออกมาชุมนุมแต่อย่างใด
ด้านพระมหาบุญถึง พลบุญโญ วัดวังแดงเหนือ จ.พิจิตร ที่เดินทางมาร่วมยื่นหนังสือด้วยกล่าวว่า เพื่อต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและตีความให้เข้าใจตรงกันระหว่างกฏหมายสงฆ์ และกฏหมายบ้านเมือง ถึงกระบวนการจับพระสึก ทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความสบายใจทั้ง2 ฝ่าย ยืนยันว่า การมายื่นหนังสือครั้งนี้ไม่ได้มาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ระหว่างกฏหมายสงฆ์และกฏหมายบ้านเมือง และเพื่อความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งกรณีที่ให้พระผู้ใหญ่สึกก่อนคดีความจะถึงที่สุด ถือเป็นกรณีศึกษา จึงอยากให้ศาลช่วยตีความ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน
สำหรับกลุ่มองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่คัดค้านการดำเนินคดีพระชั้นผู้ใหญ่ในคดีเงินทอนวัด รวมทั้งเคยยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อให้มีบทบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบในเฟซบุ๊กองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ - อพช. พบว่า มีการโพสต์ข้อความสร้างประเด็นขัดแย้งกับต่างศาสนาอยู่บ่อยครั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี