“เป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 54 บัญญัติไว้ว่า รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร เพื่อติดตามการดำเนินงานการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย ทั้งในส่วนของโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา ต้องเริ่มต้นพัฒนาเด็กไทยตั้งแต่ในช่วงแรกเริ่มของชีวิต หรือการศึกษาระดับปฐมวัย ซึ่งทุกภาคส่วนต้องตระหนักเข้าใจตรงกันว่า “เด็กเล็กไม่ใช่สมบัติของหน่วยใดหน่วยหนึ่ง” แต่ “เด็กเล็กถือเป็นสมบัติของชาติ” ในการจัดการศึกษาทุกระดับจึงต้องเน้นคุณภาพการศึกษาเป็นหลักสำคัญ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงไม่มีนโยบายให้โรงเรียนทุกสังกัดเปิดรับเด็กปฐมวัยหากไม่มีความพร้อม หากจะจัดต้องมีความพร้อมจริงๆ เพื่อให้เด็กมีคุณภาพและเติบโตไปสู่การเป็นเด็ก 4.0 ในอนาคต
นอกจากนี้ช่วงเวลาที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้มีการรับฟังผลการดำเนินงาน รวมถึงปัญหาอุปสรรคของทุกภาคส่วนที่ร่วมจัดการศึกษาปฐมวัย พบว่าการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยยังขาดความเชื่อมโยงการทำงาน และขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ ดังนั้นจึงมอบหมายให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ทุกจังหวัด ทำหน้าที่ดูแลและประสานการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของทุกหน่วยงานในพื้นที่ โดยเน้นการแบ่งปันทรัพยากร พัฒนา และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เชิงบูรณาการร่วมกัน
ขณะที่ ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยตามโครงการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ (RIECE Thailand) พบว่า การลงทุนในเด็กตั้งแต่ช่วงปฐมวัย ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้การจัดการเรียนการสอนในหลักสูตร “ไฮสโคป (High Scope)” มีหลัก 3 ประการคือ “วางแผน-ลงมือทำ-ทบทวน” ถือเป็นหลักสูตรที่คุ้มค่าที่สุด และพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว 50 ปี เนื่องจากลงทุนต่ำแต่ได้ผลตอบแทนน่าพอใจ เพียงนำทรัพยากรที่มีอยู่แล้วมาบริหารจัดการให้เหมาะสม โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษราคาแพงใด ๆ มาช่วย นอกจากการฝึกอบรมครูผู้สอนหรือครูพี่เลี้ยงเด็กปฐมวัยให้มีความรู้ความเข้าใจเท่านั้น หลักสูตรไฮสโคปจึงนับเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาด้านปฐมวัยที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว สามารถเริ่มต้นได้ทันที เนื่องจากไม่ต้องมีการแก้ไขหลักสูตร เพียงปรับเปลี่ยนวิธีการสอน
รมว.ศึกษาธิการ ย้ำถึงการผลักดันแผนการศึกษาระดับปฐมวัยในระยะยาวของประเทศ โดยมีคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานกรรมการ และสภาการศึกษา ทำงานร่วมกับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อบรรจุในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทที่สำคัญต่อการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยทั่วประเทศกว่า 8 แสนคนทั่วประเทศอย่างมีคุณภาพ
ดังนั้น หากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาเด็กปฐมวัยให้เป็นการทำงานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง และทุกฝ่ายต่างตระหนักว่า “เด็กเล็กถือเป็นสมบัติของชาติ” เชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นพัฒนาการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยอย่างจริงจัง จะนำไปสู่ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา โดยการสนับสนุนจากครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ครูปฐมวัย" ที่เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2 ของเด็ก อันจะเป็นการส่งเสริมพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุขในสังคม ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี