ได้รับข่าวสารทางไลน์ และ เฟซบุ๊ค ที่มีคนแชร์ต่อๆ กันมา เป็นภาพอินโฟกราฟิกของกรมวิชาการเกษตร เผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า “ก้าวเกษตร” เกี่ยวกับสารกำจัดวัชพืช ชี้แจงประเด็นต่างๆ เป็นข้อๆ ไป ภาพชุดแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับพาราควอต ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายประกาศยังไม่ยกเลิกการใช้ แต่ให้กรมวิชาการเกษตรไปกำหนดหลักเกณฑ์จำกัดการใช้ภายใน 60 วัน ซึ่งนี่ก็ผ่านมา 1 เดือนแล้ว
อินโฟกราฟิกชุดแรกนี้ ระบุว่า การยกเลิกการใช้พาราควอตหรือไม่เป็นอำนาจของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ไม่เกี่ยวอะไรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติไม่ยกเลิกการใช้ แต่ให้จำกัดการใช้ (มติจากการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา) ซึ่งมติดังกล่าวพิจารณาจากข้อมูลทางวิชาการของ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตรายพาราควอต คลอไพริฟอส และไกลโฟเซต ทั้งนี้คณะอนุกรรมการชุดนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการใช้พาราควอต
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น มีการชี้แจงว่าคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ นี้ เสนอชื่อและแต่งตั้งโดยคณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้เป็นผู้เสนอชื่อ และไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งแต่อย่างใด ทั้งนี้คณะอนุกรรมการ มีทั้งสิ้น 14 ราย เป็นข้าราชการของกระทรวงเกษตรฯ เพียง 4 ราย 1 ใน 4 นั้นเป็นข้าราชการบำนาญ
ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวอ้างผลงานวิจัยว่าพบสารพาราควอตตกค้างในแหล่งน้ำ และพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรในจังหวัดหนองบัวลำพูในระดับที่อันตรายนั้น กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับกรม
ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำ ตะกอนดิน และดินที่ใช้เพาะปลูก ที่จังหวัดหนองบัวลำพูนำมาตรวจสอบ ไม่พบสารพาราควอตตกค้างในตัวอย่างน้ำ แต่พบในตัวอย่างตะกอนดิน และดินที่ใช้เพาะปลูกในระดับที่ไม่สูงกว่าปกติ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเปรียบเทียบ สารพาราควอต กับสารกลูโฟซิเนตที่มีการแนะนำให้ใช้แทนพาราควอด ว่า พาราควอตนั้นออกฤทธิ์ให้วัชพืชตายภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังฉีดพ่น และมีระยะปลอดฝน(ระยะเวลาที่ฝนจะไม่ตกชะล้างสารเคมีก่อนที่ต้นพืชจะดูดซึมเข้าไป) เพียงครึ่งชั่วโมง ส่วนกลูโฟซิเนต ออกฤทธิ์ทำให้วัชพืชตายภายใน 2-3 วันหลังฉีดพ่น และมีระยะปลอดฝนถึง 6 ชั่วโมง ที่สำคัญคือ ถ้าใช้กลูโฟซิเนตจะทำให้ต้นทุนต่อไร่สูงกว่าการใช้พาราควอต 5-6 เท่า
เรื่องของต้นทุนการผลิต จะเป็นตัวชี้วัดว่าสินค้าเกษตรของไทยจะสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้หรือไม่ ถ้ายกเลิกใช้พาราควอต จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเพราะอาจต้องใช้แรงงานคนที่มีค่าจ้างแรงงานสูงมาก อีกทั้งในสนธิสัญญาการค้าต่างๆ ก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามใช้สารพาราควอตด้วย ส่วนที่มีการอ้างว่าประเทศมาเลเซียห้ามใช้พาราควอตนั้น ข้อเท็จจริงในขณะนี้มาเลเซียยอมให้ขึ้นทะเบียนใหม่แล้ว
สำหรับสถานภาพการใช้พาราควอตนั้น มีการห้ามใช้ใน 51 ประเทศ อนุญาตให้ใช้ได้ใน 75 ประเทศ (รวมทั้ง สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น) จำกัดการใช้ใน 11 ประเทศ
ทั้งหมดนี้ถอดความมาจากอินโฟกราฟิกของกรมวิชาการเกษตร ที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ถึงแม้จะมาช้าไปหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่มาเสียเลย เช่นเดียวกับภาพอินโฟกราฟิกของ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ หรือ มกอช. ที่มีการแชร์กันทางเฟซบุ๊คเช่นเดียวกัน เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกันและเป็นข้อมูลที่ระบุว่าเป็นรายงานการศึกษาโดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตรายพาราควอต คลอไพริฟอส และไกลโฟเซต
มีที่แตกต่างเพิ่มเติมมาคือ ประเด็นข้อสงสัย ที่มีผลงานวิจัยอ้างว่าพาราควอตทำให้เกิดโรคเนื้อเน่า หนังเน่า นั้น ข้อเท็จจริงคือ โรคดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการใช้สารพาราควอต และยังไม่มีข้อมูลยืนยันถึงความสัมพันธ์ของสารพาราควอตกับการเกิดโรคเนื้อเน่า หนังเน่าแต่อย่างใด รวมทั้งประเด็นของ โรคพาร์กินสัน และระบบประสาท ก็มีการยืนยันเช่นกันว่า ไม่พบความสัมพันธ์ ระหว่างการได้รับสารพาราควอตกับการเกิดโรคพาร์กินสัน และการมีผลต่อระบบประสาท
ต่อประเด็นที่ว่าพาราควอตมีพิษเฉียบพลัน ไม่มียาถอนพิษ มีผู้เสียชีวิตจากสารนี้จำนวนมาก ข้อเท็จจริงคือ องค์การอนามัยโลก จัดให้สารพาราควอตอยู่ในกลุ่มสารที่มีพิษปานกลาง ส่วนที่ทำให้เสียชีวิตนั้นเกิดจากการตั้งใจดื่มเพื่อฆ่าตัวตาย ไม่ได้เกิดจากการใช้สาร หรือ จากอาหารที่กินเข้าไป
ฟังความเรื่องใด อย่าฟังข้างเดียว ฟังความให้รอบด้าน ส่วนจะเชื่อใคร ก็แล้วแต่สะดวกใจ
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี