วันที่ 3 กรกฎาคม นพ.โสภณ เมฆธน ประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้รับหลักการร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่จะปลดล็อกให้สามารถนำกัญชามาใช้เพื่อการวิจัยทางการแพทย์ได้ ซึ่งหากทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการก็คาดว่าน่าจะมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ และมีผลบังคับใช้ได้ประมาณเดือนเมษายน 2562
ดังนั้นคณะกรรมการฯจึงได้มอบหมายให้คณะทำงานทั้ง 4 คณะ เร่งเดินหน้าดำเนินงานเตรียมความพร้อมให้สามารถนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ให้ได้ภายในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 เช่น การกำหนดกติกาการใช้ ใครจะเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่าย กระบวนการศึกษาวิจัยต้องทำอย่างไร และการผลิตในระดับอุตสาหกรรมควรทำอย่างไร เป็นต้น
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า จากรายงานความคืบหน้าแบ่งการใช้กัญชาทางการแพทย์ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.แพทย์แผนปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยชัดเจนแล้วว่าใช้กัญชาได้สำหรับแก้คลื่นไส้อาเจียนในคนไข้มะเร็งที่รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักในเด็ก และปลอกประสาทอักเสบ ส่วนที่มีการศึกษาแต่ยังไม่ชัดเจน เช่น ลมชักดื้อยาอื่นๆ การมีผลต่อเซลล์มะเร็งในคนหรือไม่ พาร์กินสัน และจิตเวช อย่างอัลไซเมอร์ 2.แพทย์แผนไทยมี 4 ตำรับ ที่อยู่ระหว่างศึกษาว่าตำรับที่ต้องใช้มีอัตราส่วนของสารแคนนาบิดอยล์ (CBD) และสารเตตระไฮโดรแคนนาตินัล (THC) อย่างไร ปริมาณคนไข้ทั้งหมดเยอะหรือไม่ เพื่อจะได้ทราบว่าจะต้องมีน้ำมันกัญชาหรือยากัญชามากเท่าไร
ส่วนความคืบหน้าโครงการปลูกและวิจัยทำสารสกัดจากกัญชา ของ อภ. มี 2 โครงการ คือ โครงการขอของกลางมาสกัด ซึ่งเสนอไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการปลูกและพัฒนาสายพันธุ์กัญชา อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการเพื่อเสนอขออนุมัติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี