เยาวชนชายบ้านกาญฯเปิดหมดเปลือก ประสบการณ์แชทลวง-รุมโทรมพร้อมฝากเป็นบทเรียนเตือนหญิง อย่าหลงเชื่อความรักในโลกโซเชียล ขณะที่ "มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล" ชวนวัยรุ่นกะเทาะเปลือกความคิด หวังเป็นวัคซีนป้องกันปัญหาคุกคามทางเพศ มุ่งเคารพให้เกียรติ ไม่ละเมิดสิทธิ
4 ก.ค.61 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ ซินดี้ สิรินยา บิซอพ นายณัฐ ประกอบสันติสุข โครงการปกป้องเด็กและเยาวชนจากปัจจัยเสี่ยงทางสังคมและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดแสดงนิทรรศการ “พลังสังคม หยุดคุกคามทางเพศ” ในงานมีการเปิดตัวสื่อรณรงค์หยุดคุกคามทางเพศของนักศึกษา และเสวนา “คนรุนใหม่ กับปัญหาการคุกคามทางเพศ” โดยมีนักเรียน นักศึกษา จากหลายสถาบัน กว่า 60คน ร่วมแลกเปลี่ยน
นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า นิทรรศการนี้เชื่อมโยงจากงานที่สยามพารากอน โดยนำเสื้อผ้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย มาสร้างการรับรู้ใหม่ว่าแต่งกายล่อแหลมไม่ได้เป็นเหตุหลักให้ถูกคุกคามทางเพศสะท้อนได้จากข้อมูลที่รวบรวมข่าวหนังสือพิมพ์ ปี 2558 ทั้งหมด 306 ข่าวเป็นข่าวความรุนแรงทางเพศมากที่สุด ผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ส่วนผู้ถูกกระทำอายุน้อยสุดคือ1-5 ขวบ และผู้ถูกข่มขืนอายุมากที่สุด คือ 86 ปี ปัจจัยกระตุ้น ร้อยละ30 มาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองลงมาร้อยละ 23.3 ผู้กระทำไม่ยับยั้งอารมณ์ทางเพศ ส่วนอุปสรรคสำคัญ คือ สังคมยังมีมายาคติโทษผู้ถูกกระทำ เช่น ไม่ระมัดระวังตนเอง ยั่วยวนให้ท่า ต้องการแบล็คเมย์ผู้กระทำฯ แต่งกายล่อแหลม
“ทั้งเด็กและผู้สูงอายุที่ที่ถูกกระทำ เขาไม่ได้มีสรีระเป็นที่น่าสนใจและดึงดูดใจจนทำให้กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ แต่ก็ยังถูกคุกคามทางเพศได้ ซึ่งรากของปัญหา มาจากระบบคิดชายเป็นใหญ่ของผู้กระทำที่มองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ คิดว่ามีอำนาจเหนือกว่า จึงแสดงออกผ่านการกระทำความรุนแรงทางเพศ เช่น ข่มขืน รุมโทรม อนาจาร พยายามข่มขืน กระทำกับผู้ที่อ่อนแอ ไม่มีทางสู้ หลายกรณีบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิต สำหรับทางออก คือต้องสร้างความตระหนัก เข้าใจคุณค่าที่อยู่ในตัวผู้หญิง ไม่จำนนต่อค่านิยม และความเชื่อผิดๆหรือมายาคติที่สังคมโยนให้ผู้ถูกกระทำ” นางอังคณา กล่าว
นางสาวปานิตา ฮุมเม็ล ร็อธ หรือ ดีเจพานิ ปานิตา คลื่น Met107 อายุ 28 ปี กล่าวว่า เคยถูกคุกคามทางเพศถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกตอน 6 ขวบ ญาติผู้ชายของเพื่อนใช้อุบายหลอกให้ขึ้นไปหาบนชั้น 2 ของบ้าน เขายืนประชิดด้านหลังแล้วเอามือล้วงไปในกระโปรง ด้วยความตกใจตนจึงกรีดร้อง และรีบวิ่งกลับบ้าน โดยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 อายุ 15 ปี เจอแทกซี่ใช้มือช่วยตัวเองในรถ ตนจึงรีบบอกให้จอดและรีบวิ่งลงจากรถทันที ตอนนั้นตนและเพื่อนแต่งกายตามปกติใส่เสื้อยืดคอกลมและกางเกงเกงยีนส์ ส่วนเหตุการณ์สุดท้าย ขณะข้ามสะพานลอย เห็นผู้ชายยืนช่วยตัวเองสะท้อนเข้ามาในกระจกเงา ล่าสุดเกิดกับเพื่อนชาวต่างชาติ คือ มีผู้บุกรุกเข้าห้องพยายามข่มขืน แต่ไม่สำเร็จ หลังเกิดเหตุได้พาเพื่อนไปแจ้งความ ผ่านไป 1 สัปดาห์คดีไม่คืบหน้า จับคนร้ายไม่ได้
“ปัญหาการคุกคามทางเพศเป็นสิ่งที่ทำให้ออกมารณรงค์เรื่องนี้ ที่ผ่านมาเกิดคำถามในใจว่าคดีข่มขืนคุกคามทางเพศ ทำไมสังคมมองเป็นเรื่องเล็กน้อย มองเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เหยื่อต้องทนกับความรู้สึกหวาดกลัว หวาดระแวงไปตลอดชีวิต และการถอดบทเรียนนี้จะช่วยกระตุ้นให้สังคมเห็นว่าคดีข่มขืน คดีคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ควรได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องทัศนคติคนในสังคม เรื่องกฎหมาย อยากเห็นผู้หญิงออกมาพูดมากขึ้น เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง” ดีเจพานิ กล่าว
ด้านนายเอ (นามสมมติ) อายุ 21 ปี เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ขณะนั้นอายุ 17 ปี ตนและพวกเคยก่อเหตุกับเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ไม่เป็นคดีความเพราะผู้เสียหายไม่เอาเรื่อง เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากพฤติกรรมเลียนแบบรุ่นพี่ คือแชทลวงเหยื่อเพื่อมาให้เพื่อนในกลุ่มกระทำ และเอามาอวดให้รุ่นน้องฟัง สร้างแรงปลุกใจให้ดูเป็นเรื่องที่สุดยอด ตนและเพื่อนจึงทำตาม โดยแต่ละวันจะแชทลวงหญิงสาวหลายสิบคนทางเฟซบุ๊ค ใช้เวลาคุย 2 - 3 วัน ด้วยวิธีบอกรัก และกดดันให้หญิงสาวมาหาที่แมนชั่น โดยไม่สนใจว่าจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่
“วันก่อเหตุได้ลวงให้หญิงสาวมาหา แล้วให้เข้าไปรอในห้องนอน ส่วนผมกับเพื่อนและรุ่นพี่ ก็หลอกล่อสารพัดเพื่อให้ตัวเองและพวกบรรลุความบ้าระห่ำ แม้หญิงสาวจะดิ้นรนทุกวิถีทางทั้งขอร้องสุดชีวิตเพื่อให้หยุดการกระทำ ก็ไม่มีผลอะไรกับเราเลย เธอถามว่าทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้ เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยในตอนนั้น” นายเอ กล่าว
นายเอ กล่าวว่า ผ่านมาหลายสัปดาห์มารู้ข่าวอีกทีว่าเธอไม่ไปโรงเรียนและไม่เคยไปแจ้งความดำเนินคดีพวกตนด้วย ต่อมาตนถูกจับดำเนินคดีในข้อหาอื่น และระหว่างที่ถูกจองจำตนก็ถูกคุกคามทางเพศหลายครั้ง จนทำให้นอนคิดถึงเรื่องที่ทำไว้กับผู้หญิงคนนี้ เธอต้องถูกกดดันจากสังคมและครอบครัว เสียการเรียน ทุกข์ทรมาน เธอคงเจ็บปวดกว่าตนเองหลายเท่า และเมื่อได้ย้ายมาอยู่บ้านกาญจนาฯ บ้านหลังนี้สอนเรื่องสิทธิ อย่าไปละเมิดสิทธิคนอื่น ต้องรู้จักเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายผู้อื่น รู้จักให้เกียรติไม่ว่าเพศไหนก็ตาม ซึ่งถ้าย้อนเวลาได้จะไม่ก่อเหตุเช่นนั้นเด็ดขาด และถ้ามีโอกาสอยากขอโทษและขอรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น
“ที่น่าเป็นห่วงคือเชื่อว่ามีวัยรุ่นจำนวนมากเติบโตมาโดยไม่ถูกสอนให้เคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกายผู้อื่น แม้แต่ระบบการศึกษา สถาบันครอบครัวก็บ่มเพาะสิ่งเหล่านี้น้อยมาก ยิ่งยุคสื่อออนไลน์ ยิ่งส่งผลต่อความคิดความเชื่อผิดๆ และหลังจากได้ชมนิทรรศการครั้งนี้ ทำให้มุมมองที่เคยคิดว่าการข่มขืนมีสาเหตุจากการแต่งตัว ได้ถูกทลายลงไป ท้ายนี้ฝากไปถึงหญิงสาวทุกคนอย่าหลงเชื่อผู้ชายที่แชทมาคุยและบอกรักคุณ เพราะความรักนั้นมันไม่มีอยู่จริง”
ขณะที่ น.ส.พิมพ์พจี เย็นอุรา นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงแนวคิดการทำสื่อรณรงค์หยุดคุกคามทางเพศว่า ทางทีมวางแผนทำสื่อ 3 รูปแบบในหัวข้อ โทษเหยื่อ=ข่มขืนซ้ำ โดยทำเป็นเซ็ทรูปภาพ แอนนิเมชั่น และมัลติมีเดีย รวมถึงผลิตเกมส์เรียงคำผิดชีวิตเปลี่ยน โดยจะเผยแพร่ในช่องทางเฟซบุ๊กเพจของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลและมูลนิธิเพื่อนหญิง มองว่าสื่อเล็กอาจจะใช้เวลานานกว่าจะสร้างความตระหนักในระยะยาวได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่ทุกภาคส่วนช่วยกันอาจช่วยลบมายาคติของสังคมที่มองว่าผู้ถูกกระทำเป็นต้นเหตุ ทั้งที่ผู้ถูกกระทำมีสิทธิแต่งตัวอย่างไรก็ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี