16 ก.ค.61 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา พร้อมคณะอัยการผู้รับผิดชอบสำนวนคดีล้มบอลล็อคผลสกอร์การแข่งขันฟุตบอลโตโยต้าไทยลีก ฤดูกาล 2017 แถลงผลการสั่งฟ้องผู้ต้องหาขบวนการล้มบอลทั้งหมด 15 คน ประกอบด้วยผู้ตัดสิน 2 ราย , นักฟุตบอลอาชีพ 8 ราย ทีมราชนาวี เอฟซี และทีมศรีสะเกษ เอฟซี และกลุ่มนายทุน (พนัน) หรือตัวแทนนายทุน 5 ราย
คดีนี้อัยการสำนักงานคดีอาญา 6 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จำเลยทั้ง 15 ราย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย
กลุ่มผู้ตัดสิน 2 ราย ได้แก่ นายธีรจิตร หรือเก๋ สิทธิศุข อายุ 43 ปี ผช.ผู้ตัดสินหรือไลน์แมน ที่ 1 , และนายภุมรินทร์ คำรื่น อายุ 31 ปี ผู้ตัดสินฟีฟ่า 2017 ที่ 7
กลุ่มนายทุน (พนัน) หรือตัวแทนนายทุน 5 ราย ได้แก่ นายเชิดศักดิ์ หรือจ่อย บุญชู อายุ 45 ปี ผอ.สโมสรศรีสะเกษฯ ที่ 2 นายภาคภูมิ หรือแบงค์ พันธ์นิกุล อายุ 31 ปี จำเลยที่ 3 นายมานิตย์ หรือเศรษฐปสิทธิ์ หรือป้อม โกมลวัฒนะ อายุ 47 ปี จำเลยที่ 4 นายวัลลภ สมาน อายุ 45 ปี จำเลยที่ 5 และนายกิตติภูมิ หรือเด่น ปาภูงา อายุ 31 ปี อดีตนักฟุตบอลที่ 6
นักฟุตบอลอาชีพ 8 ราย ได้แก่ นายวีระ เกิดพุดซา อายุ 33 ปี ผู้รักษาประตูทีมนครราชสีมา มาสด้าเอฟซี ที่ 8 , จ.อ.เสกสันต์ หรือเสก ชาวทองหลาง อายุ 34 ปี นักเตะราชนาวี เอฟซี ที่ 9 , จ.ท.สุทธิพงษ์ เหลาพร อายุ 28 ปี นักเตะราชนาวี เอฟซี ที่ 10 , จ.ท.สุวิทยา นำสินหลาก อายุ 26 ปี นักเตะราชนาวี เอฟซี ที่ 11 , นายณรงค์ วงษ์ทองคำ อายุ 36 ปี ผู้รักษาประตูราชนาวี เอฟซี จำเลยที่ 12 , ส.อ.ธีรชัย งามเจริญ อายุ 35 ปี นักเตะศรีสะเกษ เอฟซี ที่ 13 , นายทศพร เขม็งกิจ อายุ 32 ปี นักเตะศรีสะเกษ เอฟซี จำเลยที่ 14, นายเอกพันธ์ จันดากรณ์ อายุ 32 ปี อดีตนักเตะศรีสะเกษ เอฟซี จำเลยที่ 15
ส่วนพฤติการณ์ตามฟ้อง สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 ก.ย.60 , วันที่ 21 - 26 ก.ค.60 , วันที่ 10 ก.ย.60 , วันที่ 11 - 23 ก.ย.60 นายธีรจิตร หรือเก๋ สิทธิศุข ผช.ผู้ตัดสิน จำเลยที่ 1 ร่วมกับ กลุ่มนายทุน จำเลยที่ 2 - 6 ที่ให้หรือรับว่าจะให้เงินกับกลุ่มนักกีฬา จำเลยที่ 8 - 15 ซึ่งเป็นนักเตะทีมศรีสะเกษ เอฟซี และทีมราชนาวี เพื่อจูงใจให้ทำการล้มฟุตบอล รายการแข่งขัน ไทยพรีเมียร์ลีก (T1) ที่ใช้ชื่อรายการว่า โตโยต้า ไทยลีก ด้วยการแกล้งแพ้ เป็นเงินครั้งละ 300,000 - 800,000 บาท
และร่วมกันให้เงินครั้งละ 100,000 บาท กับ นายภุมรินทร์ คำรื่น ผู้ตัดสินฟีฟ่า 2017 จำเลยที่ 7 ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินกีฬาเพื่อจูงใจให้ทำหน้าที่ตัดสินไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกติกาแข่งขัน เพื่อให้ผลการแข่งขันกีฬาฟุตบอลเป็นไปตามที่จำเลยกลุ่มนายทุน และจำเลยที่ 1 ซึ่งกลุ่มของจำเลยที่ 1 - 6 ก็เป็นผู้เล่นพนันทายผลการแข่งขันฟุตบอลไทยรายใหญ่ด้วย ที่เป็นการเล่นพนันผ่านทางเว็บไซต์
เหตุเกิดที่ ต.พร้าว อ.เมืองหนองบัวลำภู จ.หนองบัวลำภู , ต.ในเมือง อ.อุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี , ต.สุรนารี อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา , ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ ตำบล-อำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 , 2 , 5 , 7 - 15 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนจำเลยที่ 3 - 4 , 6 ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาร่วมกันลักลอบพนันทายผลฟุตบอลโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลอาญาได้ประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2131/2561 โดยศาลสอบคำให้การเบื้องต้น จำเลยทั้ง 15 ให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 10 กันยายนนี้ เวลา 09.00 น.ขณะที่จำเลยทั้งหมดได้รับการปล่อยชั่วคราวไปหลังจากยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ซึ่งศาลตีราคาประกันคนละ 100,000 - 200,000 บาท
นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 มี.ค.61 พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้สรุปสำนวนกล่าวหา นายธีรจิตร สิทธิศุข หรือเก๋ ผช.ผู้ตัดสิน กับพวกรวม 15 ราย ข้อหาร่วมกันให้หรือขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่นักกีฬาอาชีพ หรือผู้อื่น เพื่อจูงใจให้นักกีฬาอาชีพกระทำการล้มกีฬา,ร่วมกันให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่นักกีฬาอาชีพ เพื่อจูงใจให้นักกีฬาอาชีพทำการล้มบอล และมีการติดสินบนนักฟุตบอล กรรมการผู้ตัดสิน เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“จึงเป็นการล้มบอล เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 ,พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2547 และประมวลกฎหมายอาญา และจ่ายสำนวนไปยังอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 พิจารณาแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา อัยการจึงได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีหมายเลขดำอ.2131/2561 ดังกล่าว” นายธรัมพ์ กล่าว
ด้านนายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า ฐานความผิดเป็นไปตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 โดยกลุ่มนายทุนผู้จ้างกระทำผิดก็เข้าตาม ม.64 คือ ผู้ให้หรือรับว่าจัดให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้นักกีฬาอาชีพล้มบอล และนายทุนยังได้จ้างผู้ตัดสินให้ตัดสินไม่เป็นไปตามกติกาหรือเที่ยงธรรม ตาม ม.66 ซึ่งโทษที่จะได้รับ คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 - 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 และฉบับที่ 4 พ.ศ.2547 ม.4 , 4 ทวิ , 5 , 6 , 10 , 12
นายพรชัย กล่าวว่า โดยส่วนของกลุ่มนายทุนนี้อัยการยื่นฟ้องไว้สำหรับเหตุการณ์แข่งขันรวม 5 แมตช์ ซึ่งมูลค่าทรัพย์ที่ได้มีการหมุนเวียนกระทำผิดอยู่ที่หลักล้าน แต่ไม่ถึงสิบล้านบาท สำหรับกรรมการผู้ทำหน้าที่ตัดสินจะโดนโทษหนักกว่า คือ ม.67 ฐานผู้ตัดสินใดเรียก รับ หรือยอมจะรับสินจ้างหรือประโยชน์นั้น เพื่อทำหน้าที่ตัดสินไม่เป็นไปตามกติกาหรือไม่ถูกต้องเที่ยงธรรม อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 300,000 - 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนนักกีฬาจะมีความผิดตาม ม.65 คือ เป็นผู้เรียก รับ หรือยอมจะรับสินจ้างหรือประโยชน์นั้น เพื่อล้มกีฬาซึ่งอัตราโทษ คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี เช่นกัน หรือปรับตั้งแต่ 200,000 - 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยโทษดังกล่าวเป็นโทษทางอาญาสำหรับนักเตะหรือนักกีฬา แต่ที่สำคัญสำหรับนักกีฬาอาชีพก็ยังมีอีกส่วนคือ ม.24 ซึ่งผู้ที่ถูกฟ้องแล้วและศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดตาม ม.64 - 67 ให้สโมสรกีฬาอาชีพหรือสมาคมกีฬาอาชีพนั้น ต้องตัดสิทธิการนำเสนอชื่อนักกีฬาคนนั้นเข้าสู่การแข่งขันทุกแมตช์เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี โดยในส่วนของกลุ่มกรรมการผู้ตัดสินและนักกีฬานั้นอัยการได้ยื่นฟ้องในเหตุการณ์บางแมตช์ไม่ครบทั้ง 5 แมตช์
“ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวกับอนาคตและหน้าที่ของนักกีฬาจริงๆ นี้คือภาพกว้างๆที่จะทำให้เห็นว่าการกระทำผิดตรงนี้ทำไปเพื่ออะไร” นายพรชัย กล่าวและว่า ผู้ตัดสินที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุน คือจะไปติดต่อนักเตะหรือนักกีฬาอาชีพเพื่อให้ทำการล้มบอล ขณะเดียวกันตนเองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินด้วยจึงอยู่ใน 2 สถานะ ส่วนผู้ตัดสินอีกคนทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินเพียงอย่างเดียว จึงไม่อยู่ในกุล่มทุน
ส่วนคดีนี้ผู้ต้องหามีทั้งหมด 16 คน แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากพนักงานสอบสวนเองมีความเห็นว่า ผู้ต้องหารายนี้มีส่วนการกระทำผิดน้อยที่สุด และคำให้การมีประโยชน์ต่อคดีและเป็นจิ๊กซอว์ ตัวหนึ่งที่จะทำให้กระบวนการนำสืบพยานในชั้นศาลมีความสมบูรณ์ ดังนั้นคณะพนักงานอัยการจึงมีความเห็นตรงกับพนักงานสอบสวนที่จะกันผู้ต้องหารายนี้ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด เพราะเป็นเพียงผู้ที่ส่งสัญญาณให้เกิดการกระทำผิดเล็กน้อย จึงกันไว้เป็นพยาน
“คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีการฟ้องคดีตั้งแต่มีพ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพฯ จึงขอชื่นชมพนักงานสอบสวนที่พยายามรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดและต่อจิ๊กซอว์แต่ละตัว ตั้งแต่กลุ่มทุน ,นักเตะ , ผู้ตัดสิน และรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อส่งให้อัยการยื่นฟ้องคดีล้มบอลต่อศาล” นายพรชัย กล่าว
ขณะที่ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวเสริมว่า กฎหมายการปราบปรามการล้มบอล เป็นกฎหมายใหม่และเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และสำคัญที่สุดคือคณะทำงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 15 คน ตามที่พนักงานสอบสวนได้เสนอความเห็นมาเพราะว่าการล้มบอล ที่มีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องถือเป็นภัยที่บั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของวงการกีฬาไทย รวมทั้งมอมเมาเยาวชนที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนัน
ด้าน นายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการฯ กล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับคดีนี้เนื่องจาก พ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานและมีการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดกีฬาอาชีพ เพื่อให้เป็นอาชีพหนึ่งของคนไทย ฉะนั้นจะต้องทำให้กีฬาอาชีพให้มีความเจริญก้าวหน้า ทั้งอยากให้นักกีฬาและบุคลากรทางการกีฬายึดถือกฎระเบียบกติกาต่างๆ และดำเนินการไปอย่างยุติธรรม ไม่มีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง จะได้เป็นแบบอย่างและเป็นที่ต้องการของคนไทย
ทั้งนี้ เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นจึงต้องการแก้ปัญหาให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างต่อไป เช่นเดียวกับในกีฬาอาชีพอื่นๆ ตอนแรกที่รับสำนวนคดีก็มีความยุ่งยากแต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดและจะดำเนินคดีนี้ในชั้นศาลต่อไป เพื่อให้ปรากฏเป็นผลคำพิพากษาและยึดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี