18 ก.ค. 61 นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มวิชาชีพครู รวมตัวกันออก ประกาศปฏิญญามหาสารคาม เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2561 เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสิน พักหนี้ โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป พร้อมชักชวนลูกหนี้ ช.พ.ค. ทั่วประเทศ 450,000 คน ร่วมกันยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ ว่า ตนได้ติดตามข่าวของกลุ่มครูออกมาเรียกร้อง ซึ่งก็อาจจะเป็นความเดือดร้อนของครู แต่การที่ครูจะเบี้ยวหนี้คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือครูอาจจะมองว่าเกษตรกรก็ขอพักชำระหนี้ได้ จึงออกมาเรียกร้องบ้าง แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การที่ครูเป็นหนี้มีการทำสัญญาข้อตกลงกันระหว่างผู้กู้กับทางธนาคารออมสิน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยงานใด และในการกู้แต่ละโครงการแต่ละครั้ง ก็มีข้อตกลง ดังนั้น ผู้กู้จะทราบดีว่าตนเองกู้เงินเท่านี้แล้วจะต้องจ่ายดอกเบี้ยวจำนวนเท่าใด ดังนั้น การที่ครูจะเบี้ยวหนี้จึงทำไม่ได้ในทางกฏหมาย ยกเว้นคนที่ที่ตั้งใจจะเบี้ยวอยู่แล้ว เพราะในจำนวนครูที่กู้ในแสนคน ก็มีคนที่ตั้งใจเบี้ยวหนี้ แต่มีเพียงไม่กี่พันคน ซึ่งอยู่ในข่ายที่จะต้องดำเนินการทางกฏหมายอยู่แล้ว
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ก่อนที่กลุ่มนี้จะออกมาประกาศปฏิญญามหาสาคาม ก็มีครูบางส่วนเบี้ยวหนี้อยู่แล้ว ดังนั้น หากครูเบี้ยวหนี้จริง ก็จะเข้าข่ายผิดจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพครู คือ 1. ถือว่าเป็นการไม่มีวินัยในตนเอง ใช้เงินเกินที่หา ไม่จ่ายหนี้ตามเวลา 2. ไม่รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และไม่เป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์กร ทำให้วิชาชีพและองค์กรเสื่อมเสีย 3.ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งกาย วาจา และจิตใจ 4.ไม่ยึดมั่นในระบอบคุณธรรม สร้างความสามัคครีในหมู่คณะ และ5.ไม่รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม
นายสมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การที่คุรุสภาจะดำเนินการกับครูที่เบี้ยวหนี้ได้นั้น จะต้องมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือปรากฏเป็นข่าว ว่าผู้ใดเบี้ยวหนี้ เลขาธิการคุรุสภา จึงสามารถเข้าไปดำเนินการได้ แต่ที่ผ่านมาไม่ปรากฏเป็นข่าว และยังไม่เคยมีหน่วยงานใดมากล่าวโทษ หรือร้องเรียนมา คุรุสภาจึงไม่มีการดำเนินการทางจรรยาบรรณกับผู้ที่เบี้ยวหนี้ อย่างไรก็ตาม หากทางธนาคารออมสิน ซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียหายกล่าวหามา ทางคุรุสภา จึงจะดำเนินการทางจรรยาบรรณกับผู้ที่เบี้ยวหนี้ได้ ซึ่งโทษ หากมีมูลก็ตั้งแต่ขั้นตักเตือน พักใช้ใบประกอบวิชาชีพครู หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู แต่โทษเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา รับข้อกล่าวหาแล้วก็จะไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
จากนั้นก็จะต้องส่งต่อให้คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ(กมว.)พิจารณาโทษทางจรรยาบรรณกับผู้ที่เบี้ยวหนี้
“กรณีกลุ่มวิชาชีพครูที่ออกมาประกาศปฏิญญา เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณ หรือไม่นั้น ผมว่ายังไม่เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณ เพราะยังไม่มีการเบี้ยวหนี้ แต่อาจจะดูไม่เหมาะสมทางวิชาชีพครู และต้องดูด้วยว่าคนที่ออกมาประกาศนั้นยังเป็นครูอยู่หรือเปล่า หากยังเป็นครูอยู่และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ส่วนคนที่เกษียณแล้ว หรือคนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ทางคุรุสภา ก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทางธนาคารออมสิน หรือเจ้าหนี้ที่จะไปดำเนินการกล่าวหา ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงยุติธรรม ก็ออกมาระบุแล้วว่าหากครูมีหนี้สินมากและไม่สามารถชำระคืนเจ้าหนี้ได้ ก็จะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย การทำผิดวินัยก็จะเกิด และขาดคุณสมบัติในการเป็นข้าราชการ ถึงขั้นออกจากราชการได้”
เลขาธิการ คุรุสภา กล่าวอีกว่า ตนอยากให้สังคมเข้าไปมองที่เนื้อในการกู้เงินของครู เช่น การบังคับให้ครูซื้อประกันความสูญเสียของเงินกู้ในวงเงินสูงๆระยะเวลา 10 ปี แทนที่จะคุ้มครอง 30 ปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ชอบ ซึ่งทาง สกสค.กำลังดำเนินการทางคดีอยู่ ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจครูที่กู้
นอกจากนี้ ทาง สกสค.ก็ทำหน้าที่ไปเจรจาเพื่อไม่ให้ครูถูกเอาเปรียบ รวมถึงทางรัฐบาลก็พยายามช่วยครูที่เป็นลูกหนี้ เช่น ให้ สกสค.ไปเจรจากับธนาคารออมสิน ให้ช่วยลดดอกเบี้ยให้กับครูที่เป็นลูกหนี้ชั้นดีแล้ว แต่ก็มีครูที่ไม่มีวินัยในการใช้หนี้ รวมถึงเกิดลัทธิทำตาม หรือ มีคนมาบอกว่ามีกองทุนแล้ว ถ้าครูไม่จ่าย ทางกองทุนก็จะจ่ายให้ จึงเกิดความผิดพลาดในการทำ MOU ซึ่งทางรัฐบาลก็ได้เร่งให้ศธแก้ไขในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศธ. ใส่ใจและทุ่มเทกับเรื่องนี้มาก ลงมาดำเนินการในเรื่องนี้ด้วยตนเอง ทำให้ครูได้ลดดอกเบี้ย และยังนำเงิน 1%ที่ครูเคยถูกหักเข้ากองทุนนำกลับคืนให้ครูในรูปแบบการลดดอกเบี้ยเพิ่มให้อีกด้วย แต่ก็ยังมีครูส่วนหนึ่งที่ยังไม่พอใจ อาจจะเป็นเพราะครูมีหนี้ก่อนใหญ่ ซึ่งเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่แรกและครูเมื่อมีที่กู้ได้จำนวนมากก็ไม่คำนึงถึงความสามารถในการจ่ายคืน ซึ่งทางต้นสังกัดควรจะมีมาตรการสำหรับครูที่จะเป็นหนี้
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูควรจะมีวินัยในการใช้ชีวิต เพราะถ้าหากไม่มีวินัยในการใช้ชีวิตก็จะมีปัญหา แต่ก็มีจำนวนที่น้อยมากไม่ถึง 1% แต่บางส่วนก็น่าเห็นใจ เพราะคนที่มาเป็นครูส่วนใหญ่ก็มาจากครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะที่ดีนัก และต้องคอยจุนเจือครอบครัว และมีภาษีสังคมมาก ครูมีลูกศิษย์มาก และคนคาดหวังครูมาก ซึ่งอาจจะเป็นภาระที่คนอาจจะมองไม่เห็น ครูบางคนกู้เงินไปช่วยเหลือเด็กเจ็บป่วย ซึ่งคนที่ไม่ได้เป็นครูก็อาจจะไม่เข้าใจปัญหา”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี