วันนี้ (18 ก.ค.) นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "เกิดผล แก้วเกิด" ถึงกรณีกลุ่มวิชาชีพครู รวมตัวประกาศปฏิญญามหาสารคาม เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสิน พักหนี้ โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป พร้อมชักชวนลูกหนี้ ช.พ.ค. ทั่วประเทศ 450,000 คน ร่วมกันยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้
โดยระบุว่า "พอผม วิจารณ์กรณีครูกู้ยืม และประกาศ ไม่ชำระหนี้ก็มีตัวแทนครูบางคนขอ "ดีเบต" กับผมจัดไปครับในรายการ " ใข่หรือไม่ ได้รู้กัน " ที่ เนชั่นทีวี 22 วันศุกร์นี้ครับ"
ขณะที่ก่อนหน้านี้เล็กน้อย นายเกิดผล เกิดแก้ว ได้โพสต์ข้อความว่า "ตอนกู้ ครูก็กู้เพื่อตัวครูเอง ผลประโยชน์อยู่ที่ครูเท่านั้น พอให้เลือกผ่อนชำระ บางรายขอผ่อน 30 ปี ดอกเบี้ยมันก็ต้องแพงกว่าระยะสั้น ที่สำคัญ กู้เงินในโครงการนี้ ธนาคารออมสินให้ดอกเบี้ยต่ำสุด เพื่อให้นำเงินที่กู้กับธนาคารออมสินไป ปิดหนี้อื่นๆ เพื่อให้เหลือเป็นหนี้ก้อนเดียว ผมว่า ครูเข้าใจหมดทุกประเด็นแล้วน๊า ถึงพากันกู้หลายแแสนคน แต่พอส่งไม่ไหว ครูก็บอกว่า ไม่เข้าใจสัญญา หรือ สัญญาไม่เป็นธรรม พะนะ"
ก่อนหน้านี้ นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ กล่าวถึงกรณีกลุ่มวิชาชีพครู รวมตัวประกาศปฏิญญามหาสารคาม เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสิน พักหนี้ โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป พร้อมชักชวนลูกหนี้ ช.พ.ค. ทั่วประเทศ 450,000 คน ร่วมกันยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ว่า ส่วนตัวมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่แปลกในสังคมไทย คนที่เป็นครู เป็นบุคคลที่มีการศึกษาสูงมาก บางคนจบปริญญาตรี ปริญญาโท แต่มีแนวคิดผิดเงื่อนไขสัญญา ซึ่งสังคมก็กำลังมองว่าคนเหล่านี้ทำเพื่ออะไร เพราะพฤติกรรมแบบนี้ เรียกว่าหนีชำระหนี้ หรือ ชักดาบ คือ ผิดนัด ผิดศีลธรรม และผิดกฎหมายหรือไม่ และในฐานที่เป็นลูกศิษย์ ก็ยังไม่เคยเห็นใครสอนให้ทุจริตหรือคดโกง มีแต่สอนให้เด็กอดทน อดออม ประหยัด
ทั้งนี้ นอกจากผิดเรื่องศิลธรรมแล้ว ยังมีเงื่อนไขไม่ชำระหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้สามารถฟ้องดำเนินคดีได้ แต่ถ้าเป็นหนี้เกินกว่า 1,000,000 บาทก็อาจถูกฟ้องล้มละลายได้ อีกทั้งผู้ที่ค้ำประกันหนี้ดังกล่าว ยังต้องมีปัญหาตามไปด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นการค้ำแบบวนเวียนกันไปมา คนหนึ่งกู้ คนหนึ่งค้ำประกันให้ และวันถูกฟ้อง ก็อาจถูกฟ้องร่วมกันได้
นายเกิดผล กล่าวต่อว่า แม้ว่าครูจะอ้างว่าเป็นการขอเว้นการจ่ายช้ำระเงินหนี้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถอ้างได้ เพราะการชำระหนี้มีเงื่อนไขระบุไว้ชัดเจน เมื่อผิดสัญญาก็ถูกเก็บค่าปรับ หรือถ้าไม่จ่ายต่อเนื่อง ธนาคารก็สามารถฟ้องร้องได้ทันที และดอกเบี้ยก็ยังเดินต่อไป ไม่ได้หยุด แม้ว่าจะไม่จ่าย ดังนั้น การทำแบบนี้จะทำให้มีความผิด รวมถึงธนาคารก็จะได้รับความเสียหายอย่างมาก อีกทั้งหากรัฐบาลยังไม่ได้มีการประกาศพักชำระหนี้ให้ แต่เหล่าครูกระทำการโดยไม่จ่ายหนี้ ก็จะถือว่ามีความผิด ยกเว้นแต่หากมีมาตรการออกมาจากรัฐบาลว่ามีการพักชำระหนี้ให้ ครูก็สามารถไม่จ่ายเงินได้
ส่วนกรณีเรื่องการจ่ายเงินประกันล่วงหน้านั้น ทนายเกิดผล ระบุว่าในวันที่ทำสัญญาครูทุกคนรู้เงื่อนไขดี แต่ก็ยังยอมที่จะเซ็นสัญญาหรือกู้เงิน เพราะเงินสมทบส่วนดังกล่าวเป็นเงินสำรองกองทุนฌาปนกิจศพ ดังนั้น ก็มีเงื่อนไขระบุชัดเจนในสัญญา ให้ทำการสมัครหรือจ่ายตั้งแต่ก่อนกู้เงิน ซึ่งหากจะอ้างว่าไม่ถูกต้องทำเกินกว่าเหตุนั้น อ้างไม่ได้ ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ในเมื่อก่อหนี้แล้วก็ควรชำระตามเงื่อนไข
รองปลัด ยธ.ชี้ครูเบี้ยวหนี้นายประกันโดนด้วย
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ในประเด้นเดียวกันว่า จงรับสภาพการเป็นบุคคลล้มละลายหากกรณีเป็นบุคคลธรรมดาที่มีหนี้สินเกิน 1 ล้านบาท และที่สำคัญมันจะโยงพาบุคคลที่มาค้ำประกันเราเป็นบุคคลล้มละลายไปด้วย เนื่องจากหนี้เกิดโดยนิติกรรมสัญญา เมื่อมีการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้น ก็ย่อมเกิดความเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ขึ้น โดยปกติเมื่อเกิดหนี้ ลูกหนี้จะหลุดพ้นจากเคราะห์แห่งหนี้ได้ด้วยการชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งอบะพาณิชย์ มาตรา 5 ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้อง กระทำโดยสุจริต
"การที่เรามีหนี้สินมากและไม่สามารถชำระคืนกับเจ้าหนี้ได้ จึงถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย ผลที่ตามมาคือ กรณีของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหากถูกพิพากษาให้ล้มละลาย จะขาดคุณสมบัติในการเป็นข้าราชการตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และเมื่อคุณสมบัติไม่ถูกต้องแล้ว มาตรา 110 ก็กำหนดให้ผู้มีอำนาจสั่งให้ผู้นั้น ออกจากราชการ ไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาใดๆ ทั้งสิ้นได้ รวมถึงธุรกรรมการเงินต่างๆ ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปจริงๆ ก็ต้องขออนุญาตจากพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดีก่อน หากได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศจะต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทุกๆ 6 เดือน พร้อมทั้งส่งรายได้ตามที่เจ้าพนักงานจะอายัดเข้ากองทรัพย์สินด้วย"
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า การถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายจะมีระยะเวลา 3 ปีเมื่อครบกำหนดก็จะถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย ยกเว้นกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหนี้ ก็อาจจะมีการขยายเวลาเป็น 5 หรือ 10 ปีก็ได้โดยเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี ก็ให้บุคคลล้มละลายติดต่อกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สินเพื่อขอปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อได้ปลดจากการเป็นบุคคลล้มลายแล้ว ก็จะสามารถทำงานและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี