“อย่าเกียจคร้านการเรียนเร่งอุตส่าห์ มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน จะตกถิ่นฐานใดคงไม่แคลน ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน” บทกลอนอายุกว่าร้อยปีจากหนังสือ นิติสารสาธก ผลงานการประพันธ์ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกของไทย เพื่อให้ทันสมัยอย่างอารยประเทศ เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บทกลอนนี้เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าในฐานะคติสอนใจให้รักการศึกษาเล่าเรียน พร้อมๆ กับนโยบายรัฐบาลยุคต่อๆ มาจนปัจจุบันที่พยายามให้เด็กๆ ได้เข้าเรียนมากที่สุด
ที่งานสัมมนา “หนึ่งความยินดีในร้อยความเศร้า : พิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำในการศึกษาไทย” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เมื่อเร็วๆ นี้ ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงข้อมูลการจัดการศึกษาในไทย ซึ่งในเชิงปริมาณแล้วต้องถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เช่น ในระดับประถมศึกษา (ป.1-6) ถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) เฉลี่ยแล้วมีเด็กๆ ร้อยละ 97-99 ที่ได้เรียน ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6)นั้นลดลงมาบ้าง อยู่ที่ร้อยละ 78
หรือจะเป็นโอกาสระหว่างเด็กกรุงเทพฯ กับเด็กต่างจังหวัด ที่พบว่า จากเดิมในปี 2535 มีเด็กกรุงเทพฯ ได้เรียนในระดับ ม.ปลาย อยู่ที่ร้อยละ 60.89 ส่วนเด็กต่างจังหวัดอยู่ที่ร้อยละ 47.16 แต่ในปี 2554 มีเด็กกรุงเทพฯ ได้เรียนในระดับ ม.ปลาย อยู่ที่ร้อยละ 81.59 ส่วนเด็กต่างจังหวัดอยู่ที่ร้อยละ 79.76 รวมถึงช่องว่างระหว่างเด็กเมืองกับเด็กชนบท จากเดิมในปี 2535 มีเด็กเมืองได้เรียนในระดับ ม.ปลาย อยู่ที่ร้อยละ 60.28 ส่วนเด็กชนบทอยู่ที่ร้อยละ 35.61 แต่ในปี 2554 มีเด็กเมืองได้เรียนในระดับ ม.ปลาย อยู่ร้อยละ 82.28 ส่วนเด็กชนบทอยู่ที่ร้อยละ 76.71
เบื้องต้นจะเห็นว่าช่องว่างโอกาสทางการศึกษาในเชิงพื้นที่ดูจะลดลงไปมาก แต่หากจะทำได้ดีกว่านี้ ลดช่องว่างที่มีให้แคบลงกว่านี้คงต้องคิดไปถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น “รายได้ของครัวเรือนต่อเดือน” ที่พบว่า หัวหน้าครอบครัวในกรุงเทพฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 56,000 บาท ส่วนหัวหน้าครอบครัวในต่างจังหวัด เฉลี่ยอยู่ที่ 23,000 บาท หรือ “ระดับการศึกษาของหัวหน้าครอบครัว” ที่หากนับเฉพาะถึงชั้น ม.ต้น พบว่า หัวหน้าครอบครัวในกรุงเทพฯ ที่จบชั้น ม.ต้น มีถึงกว่าร้อยละ 50 ส่วนหัวหน้าครอบครัวในต่างจังหวัดมีเพียงร้อยละ 36
ประการต่อมา ผลการศึกษาพบว่า“ในแต่ละปีมีเด็กไทยเฉลี่ยร้อยละ 40 เท่านั้นที่เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย” เรื่องนี้เป็นอีกประเด็นสำคัญ อาจารย์เฉลิมพงษ์ ระบุว่า เมื่อคนคนหนึ่งอายุ 35 ปี หากบุคคลนั้นจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย (ปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย) จะมีรายได้เฉลี่ย 30,000 บาทต่อเดือนแต่หากจบเพียงระดับ ม.ปลาย จะมีรายได้เฉลี่ยเพียง 14,000 บาทต่อเดือน และไม่ต่างกันไม่ว่าจะทำงานในกรุงเทพฯ หรือในต่างจังหวัด
ทั้งนี้การเข้ามหาวิทยาลัยไม่ว่าด้วยระบบใดจากอดีตถึงปัจจุบัน “คะแนนสอบยังเป็นใหญ่” ซึ่งอาจเป็นการ “ซ้ำเติม” มากกว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพราะผลการศึกษาก็ชี้ให้เห็นว่า “เด็กจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีแนวโน้มทำข้อสอบต่างๆ ได้ดีไปด้วย” เพราะมีเงินไปลงทุนด้านการศึกษา เช่น การกวดวิชา รวมถึงการเลือกเรียนมหาวิทยาลัย ที่ก็พบเช่นกันว่า มหาวิทยาลัยที่มีหลายวิทยาเขต ผู้เลือกเรียนวิทยาเขตในต่างจังหวัดมักจะมีฐานะทางบ้านด้อยกว่าผู้เลือกเรียนวิทยาเขตศูนย์ใหญ่ในกรุงเทพฯ เหตุผลเพราะอาจต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าที่พัก ค่าเดินทาง
“เราต้องเปลี่ยนระบบแต่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เด็กที่ฐานะไม่ดีหรือบางกลุ่มที่ด้อยโอกาสสามารถเข้ามาเรียนได้ เช่นในสหรัฐอเมริกา สมัยก่อนเขารู้ว่าคนผิวสีเข้าเรียนได้น้อย ก็สามารถให้คนเหล่านี้เข้าเรียนได้โดยใช้คนละเกณฑ์ ปัจจุบันมีแนวคิดเรื่องรายได้เช่นกัน ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำอาจมีโอกาสเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำมากขึ้น” อาจารย์เฉลิมพงษ์ กล่าว
ขณะที่ ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกฎหมายที่ออกมาล่าสุดคือ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาพ.ศ.2561 หวังตั้งกองทุนนำเงินไปใช้ “อุดช่องโหว่”ทางการศึกษาในกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กปฐมวัยเด็กยากจน เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาครูที่สอนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ฯลฯ มีเงินตั้งต้นกองทุน 1 พันล้านบาท และในอนาคตคาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งในตอนแรกผู้เสนอร่างกฎหมายกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ต้องการให้แบ่งงบประมาณ ศธ. ร้อยละ 5 เข้ากองทุนทุกปี แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยให้ของบฯ ปีต่อปี นอกจากนี้ยังมีร่างกฎหมายเกี่ยวกับการดูแลเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เชื่อว่าน่าจะได้รับความเห็นชอบในเร็วๆ นี้ เพราะหลายฝ่ายสนับสนุน
“ในหนังสือ Thank You for Being Late ของ Thomas Friedman ก็พูดถึงกระแสโลกสมัยใหม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรในอนาคต เช่น การใช้ไอซีที (ICT - เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) เขาบอกว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คนจะไม่เหลื่อมล้ำทางโอกาสในการศึกษาแล้ว แต่จะเหลื่อมล้ำในแง่สิ่งที่ต้องฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็ก คือถ้าเด็กถูกฝึกให้เรียนรู้ด้วยตนเอง รักในความรู้ตั้งแต่ต้น เขาก็จะเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ง่าย ในอนาคตความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาจจะน้อยกว่าความเหลื่อมล้ำในแง่ความสามารถในการเรียนด้วยตัวเอง” ดร.ภูมิศรัณย์ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี