25 ก.ค. 2561 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “หญิงไทยยุคใหม่ สไตล์ 4.0” สอบถามความคิดเห็นประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 4,800 คน แบ่งเป็นชาย 2,404 คน หญิง 2,384 คน และเพศทางเลือก 12 คน ระหว่างวันที่ 24 พ.ค. - 15 มิ.ย. 2561 พบว่า
1.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.38 เชื่อว่าผู้หญิงจำเป็นต้องมีคู่ครอง ส่วนร้อยละ 35.62 เชื่อว่าไม่จำเป็นต้องมีคู่ครอง โดยกลุ่มที่มองว่าไม่จำเป็น ระบุเหตุผล เช่น สภาพสังคมเอื้อให้ผู้หญิงสามารถประกอบอาชีพดูแลตัวเองและครอบครัวได้ ซึ่งในปัจจุบัน ผู้หญิงสามารถอยู่คนเดียวเป็นโสด โดยไม่จำเป็นต้องมีคู่ อีกทั้งผู้หญิงสำมารถทำอะไรได้เองโดยที่ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย
และยังต้องการความเป็นอิสระในการตัดสินใจในการใช้ชีวิตที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล ผู้หญิงมีสิทธิและทางเลือกที่เท่าเทียมกับผู้ชาย ในบางความคิดเห็นคู่ครองอาจไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระ เมื่อเกิดปัญหาทุกอย่างจะตกอยู่กับฝ่ายผู้หญิง และผู้ชายที่มีความประพฤติดีหายาก ส่วนมากเจ้าชู้ไม่ซื่อสัตย์ ขาดความรับผิดชอบ และชอบใช้ความรุนแรง
2.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 60.52 เห็นว่าการแต่งงานควรจดทะเบียนสมรส เพราะเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตครอบครัวที่ได้เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะได้มีสิทธิในทรัพย์สินหรือมรดกอันพึงได้ของคู่สมรสเพื่อให้มีผลคุ้มครองสิทธิทางด้านกฎหมาย และสามารถทำนิติกรรมธุรกรรมร่วมกันในด้านการเงิน อีกทั้งเป็นสิทธิประโยชน์ของบุตรในเรื่องการศึกษา สวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงการใช้สิทธิการรักษาพยาบาลหรือการเบิกจ่าย ในกรณีที่คู่สมรสเป็นข้าราชการ และต้องการใช้นามสกุลเดียวกัน เพื่อสืบทอดสกุลฝ่ายชายตามธรรมเนียม
ส่วนร้อยละ 39.48 เห็นว่าไม่จำเป็น เพราะไม่มีกฎหมายบังคับ ไม่อยากมีข้อผูกมัดทางกฎหมาย ขึ้นอยู่กับการตกลงทั้งสองฝ่าย เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล คิดว่าทะเบียนสมรสไม่ได้เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตครอบครัว ในบางส่วนต้องการความเป็นอิสระ ไม่อยากมีภาระ ไม่สะดวกที่จะจดทะเบียน กลัวมีปัญหาเรื่องสินสมรส หนี้สิน ธุรกรรมต่าง ๆ และยังอยากใช้นามสกุลของตนเองเหมือนเดิม
3.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 76.83 ต้องการมีบุตร ในกลุ่มนี้จำนวนบุตรที่ต้องการมากที่สุดคือ 2 คน ร้อยละ 62.5 ให้เหตุผลว่า จะได้มีคนดูแลเวลาเจ็บป่วย ยามแก่เฒ่า ไว้ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงสืบทอดวงศ์ตระกูล เพิ่มจำนวนประชากร อีกทั้งเพื่อให้สถานะทางครอบครัวครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เกินความสามารถในการดูแลของบิดามารดา และจะได้มีพี่น้องไว้ดูแลซึ่งกันและกัน
รองลงมาคือมีบุตรเพียง 1 คน ร้อยละ 14.37 ให้เหตุผลว่าจะได้มีคนดูแลเวลาเจ็บป่วย ยามแก่เฒ่า ไว้ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงสืบทอดวงศ์ตระกูล เพิ่มจำนวนประชากร ไม่เกินความสามารถในการดูแลของบิดามารดา อีกทั้งเพื่อให้สถานะทางครอบครัวครบถ้วนสมบูรณ์ อันดับ 3 มีบุตร 3 คน ร้อยละ 12.77 ด้วยเหตุผลเดียวกันกับกลุ่มตัวอย่างที่ตอบว่าต้องการมีบุตร 2 คนข้างต้น
ขณะที่กลุ่มตัวอย่างอีกส่วนหนึ่งคือร้อยละ 23.17 มองว่าไม่จำเป็นต้องมีบุตร เพราะอยู่ที่สถานะความพร้อมของครอบครัว การตัดสินใจของทั้งสองคน ที่ยังต้องการความมีอิสระยังไม่อยากมีภาระ ประกอบกับปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดี ค่าใช้จ่ายในการครองชีพสูง กลัวไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดู ในบางส่วนเห็นว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้และบางคนมีปัญหาทางด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อการมีบุตร อีกทั้งมีหลานให้เลี้ยงแล้ว
4.วิธีการจัดการกับปัญหาความรุนแรงในชีวิตคู่หรือครอบครัว 3 อันดับแรกกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกตอบ อันดับ 1 ร้อยละ 69.9 ตอบว่าปรับความเข้าใจกันก่อน รองลงมา ร้อยละ 17.02 อดทนเพื่อคงความเป็นครอบครัว และอันดับ 3 เลิกรา/หย่าร้าง ร้อยละ 5.35 5.หน้าที่การทำงานบ้าน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 77.31 เห็นว่าทุกคนสามารถช่วยกันทำงานบ้านได้เท่าๆ กัน ซึ่งผู้ชายสามารถทำได้ เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้หญิง และก็ผู้หญิงทำงานนอกบ้านเหมือนผู้ชายเช่นเดียวกัน ส่วนร้อยละ 22.69 เห็นว่าหน้าที่การทำงานบ้านควรเป็นของผู้หญิงเท่านั้น
6.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มากถึงร้อยละ 94.90 เห็นว่าผู้หญิงสามารถทำงานการเมืองได้ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพราะปัจจุบันผู้หญิงมีความรู้ความสามารถ มีความเป็นผู้นำ มีสิทธิที่จะเป็นนักการเมืองเท่าเทียมกับผู้ชาย มีความละเอียดอ่อน รอบคอบ อีกทั้งมีการศึกษาสูงกว่าในสมัยก่อน และผู้หญิงอาจจะมีความคิดที่แตกต่างจากผู้ชาย มีเพียงร้อยละ 5.1 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่ได้ เพราะผู้ชายมีความเป็นผู้นำมากกว่า ผู้หญิงไม่รู้เรื่องกฎหมายการเมือง และไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ยังมีการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาดในบางเรื่อง และยังมีความอ่อนแอ ขาดความกล้า
7.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มากถึงร้อยละ 94.46 เห็นว่าผู้หญิงสามารถเป็นผู้บริหารองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ได้ มีเพียงร้อยละ 5.54 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่ได้ โดยเหตุผลทั้งกลุ่มที่เห็นว่าผู้หญิงสามารถหรือไม่สามารถเป็นผู้บริหารองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ นั้นก็เช่นเดียวกับเหตุผลในคำถามที่ว่าผู้หญิงสามารถทำงานการเมืองได้ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติหรือไม่ข้างต้น
8.ความคิดที่ว่า “เมื่อผู้หญิงทุ่มเท/ให้เวลากับการทำงานนอกบ้านมากกว่าในบ้าน จะทำให้ครอบครัวมีปัญหา” มีผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยใกล้เคียงกัน ฝ่ายที่เห็นด้วยอยู่ที่ร้อยละ 51.27 ส่วนไม่เห็นด้วยอยู่ที่ร้อยละ 48.73 โดยกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า อยู่ที่ความเข้าใจกันในครอบครัว โดยผู้ชายก็สามารถทำงานบ้านแทนผู้หญิงได้ซึ่งงานบ้านเป็นหน้าที่ของทุกคนในครอบครัวที่ต้องช่วยกันทำ ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการแบ่งเวลาของแต่ละครอบครัว ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว และผู้หญิงสามารถทำได้ดีทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน
9.ความสำเร็จของผู้หญิงในยุคปัจจุบัน 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกตอบ อันดับ 1 ร้อยละ 33.71 มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รองลงมา ร้อยละ 24.65 มีความมั่นคงทางด้านการเงิน และอันดับ 3 ร้อยละ 15.27 แต่งงานและมีลูก 10.ผู้หญิงยุค Thailand 4.0 ควรเป็นอย่างไร 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกตอบ อันดับ 1 ทำงานได้ทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน ร้อยละ 42.08 รองลงมา มีอิสระในการตัดสินใจและพึ่งพาตนเองได้ ร้อยละ 22.29 และอันดับ 3 ทำงานเก่ง มีความเป็นผู้นำ ร้อยละ 16.81
11.อาชีพของผู้หญิงยุค Thailand 4.0 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกตอบ อันดับ 1 อาชีพด้านการรักษาสุขภาพ ร้อยละ 23.95 อันดับ 2 ทุกอาชีพตามความสามารถหรือความถนัด ร้อยละ 22.02 และอันดับ 3 อาชีพด้านการใช้ภาษาต่างประเทศ ร้อยละ 15.42 12.กลุ่มตัวอย่างตัวใหญ่ ร้อยละ 80.21 เห็นว่าสังคมไทยปัจจุบันนี้ชายและหญิงเท่าเทียมกัน ทั้งการได้รับโอกาสทางการศึกษา การใช้ชีวิตและอิสระในการตัดสินใจ สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เสรีภาพในแสดงความคิดเห็น และการท างานประกอบอาชีพต่างๆ
ส่วนร้อยละ 19.79 มองว่ายังไม่เท่าเทียม เพราะความคิดความเชื่อค่านิยมที่ปลูกฝังมานานในเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่ และสังคมยังไม่ยอมรับความสามารถของผู้หญิง ที่ไม่สามารถทำงานหนัก อาชีพบางอย่างผู้หญิงไม่สามารถทำได้ อย่างการท างานที่ต้องใช้กำลัง บางส่วนให้ความคิดเห็นว่า ผู้ชายยังมีสิทธิต่าง ๆ มากกว่าผู้หญิงในบางเรื่อง ยังมีการท าร้ายร่างกายผู้หญิง การปิดโอกาสในการแสดงความคิดเห็น ส่วนใหญ่จะมองว่าผู้หญิงต้องทำงานบ้านและเลี้ยงลูก และผู้หญิงยังต้องทำงานมากกว่าผู้ชาย
13.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.52 เห็นว่าสังคมไทยให้โอกาสชายและหญิงเท่าเทียมกันแล้ว ส่วนร้อยละ 20.48 เห็นว่าให้โอกาสผู้หญิงน้อยกว่า ในเรื่อง การทำงาน ประกอบอาชีพ การเป็นผู้นำ การมีสิทธิ เสรีภาพ การดำรงชีวิตหน้าที่ต่างๆ และการแสดงความสามารถ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี