26 ก.ค.61 ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. และ พ.ต.ต.พงศ์พิทักษ์ บุญบำรุง สว.กก.5 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นางวรกานต์ ดวงจันทร์ อายุ 47 ปี อยู่หมู่ 2 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.ลพบุรี พร้อมของกลางเงินสด 1 ล้านบาท ตามความผิดฐาน “เรียกรับ หรือยอมที่จะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตัวเอง เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด และ ฉ้อโกง” ภายหลังจากจับกุมตัวได้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตรงข้าม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน
พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นางวรกานต์ ผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อเหตุหลอกเรียกรับเงินจากเจ้าของบริษัทรับผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังทางโรงงานดังกล่าวถูก พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พร้อมกำลังเข้าตรวจค้นและตรวจยึดผลิตภัณฑ์ของโรงงานดังกล่าว เพื่อนำส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่คณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ทำการตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเมจิกสกิน
ทั้งนี้ ทางผู้เสียหายจึงได้เข้าไปติดต่อขอคำปรึกษากับนางวรกานต์ ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและยาสมุนไพร และเป็นผู้กว้างขวางในวงการเครื่องสำอาง เพราะเชื่อว่าน่าจะให้การช่วยเหลือทางคดีได้ ผู้เสียหายจึงโทรศัพท์ไปสอบถามก่อนมีการนัดพบเจอกันที่โรงงานใน จ.ลพบุรี ซึ่งนางวรกานต์อ้างว่าเป็นโรงงานของตนเอง
พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวต่อว่า เมื่อได้พบเจอกันและพูดคุยปรึกษาเรื่องทางคดีกันในเบื้องต้น นางวรกานต์ ก็ได้อ้างตัวว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายต่อหลายคน สามารถวิ่งเต้นเคลียร์คดีดังกล่าวได้ และรู้จักกับแอดมินเพจดังเพจหนึ่งในเฟซบุ๊ค ที่ก่อนหน้านี้ได้เคยนำเรื่องราวของคดีเมจิกสกินมาเปิดเผยในโลกสังคมออนไลน์ ให้สามารถปิดข่าวเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องมีค่าดำเนินการต่างๆในการวิ่งเต้นทางคดีและปิดข่าว จำนวน 6 ล้านบาท ผู้เสียหายหลงเชื่อยอมจ่ายเงินในจำนวนดังกล่าว โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด งวดละ 2 ล้านบาท จนครบตามจำนวน
นอกจากนี้นางวรกานต์ ยังได้เรียกเงินจากผู้เสียหายเพิ่มเติมอีกจำนวน 3 แสนบาท โดยอ้างว่ามีชาวบ้านใน จ.ขอนแก่น จำนวน 2 รายรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของผู้เสียหายเข้าไปแล้วป่วย จนต้องเข้ารักษาตัวที่ รพ. ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมจ่ายเงินดังกล่าวเพิ่มเติมเข้าไปให้อีก กระทั่งผู้เสียหายเริ่มเอะใจจึงได้ทำการตรวจสอบกับทางหน่วยงานที่รับผิดชอบจึงทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการแอบอ้าง จึงพยายามเจรจาเพื่อขอเงินคืนจากนางวรกานต์ จนนางวรกานต์ ยอมที่จ่ายเงินคืนให้แค่ 1 ล้านบาท
ต่อมานางวรกานต์ได้ติดต่อกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขอให้ผู้เสียหายนำเงิน 1 ล้านบาทกลับมาคืนให้อีกครั้ง โดยอ้างว่ามีผู้ใหญ่บางท่านที่วิ่งเต้นทางคดีให้ก่อนหน้านี้ไม่พอใจหลังจากทราบเรื่องว่ามีการคืนเงินให้ ทางด้านผู้เสียหาย จึงได้เข้าปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนมีการวางแผนนัดมอบเงินจำนวน 1 ล้านบาท โดยให้ทางผู้เสียหายนัดคืนเงินกับทางผู้ต้องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านหลักสี่ เมื่อส่งมอบเงินเสร็จสิ้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการแสดงตัวเข้าทำการจับกุม ก่อนนำตัวมาสอบสวนที่กองปราบปราม
สอบสวน นางวรกานต์ ให้การรับสารภาพ โดยรับว่าเพิ่งทำเป็นครั้งแรก กระทั่งมาถูกจับกุมดังกล่าว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การทั้งหมด เนื่องจากเชื่อว่าผู้ต้องหารายนี้น่าจะเคยก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวกับผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางอีกหลายราย เบื้องต้นจึงแจ้งข้อกล่าวหา ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ใหญ่ที่ทางผู้ต้องหามีการกล่าวอ้างนั้น คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ระหว่างการควบคุมตัวนั้นผู้ต้องหามีการขอไกล่เกลี่ยเงินกับทางผู้เสียหายเพื่อให้คดีจบแต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี