"กรมชลประทาน"ติดตามเร่งรัดโครงการ"ฟลัดเวย์" แก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากเมืองนคร ตามแนวทางพระราชดำริ"ร.9" พร้อมงัด16แผนงานด้านอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมลดผลกระทบคนในชุมชน เผยสร้าง"ฟลัดเวย์"ระบายน้ำพร้อมปรับปรุงคลองธรรมชาติ และสร้างประตูระบายน้ำ7แห่ง ควบคุมการบริหารจัดการน้ำ กักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง มั่นใจแล้วเสร็จภายใน3ปี
2 ส.ค.61 กรมชลประทาน โดย นายชยันต์ เมืองสง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา ด้านควบคุมการก่อสร้าง กรมชลประทาน และนายธเนศ ดิษฐปัญญา ผู้อำนวยสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10 ได้จัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจรติดตามความก้าวหน้าโครงการ "ฟลัดเวย์" บรรเทาอุทกภัยเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้งบประมาณ 9,800 ล้านบาท โดยนำคณะสื่อมวลชนทั้งจากส่วนกลางและในท้องถิ่น เดินทางไปพื้นที่ก่อสร่างประตูระบายน้ำคลองหัวตรุด ต.ท่าเรือ อ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อชมการดำเนินการในพื้นที่จริง และชมนิทรรศการแผ่นภาพ/แผนผังโครงการที่จะก่อสร้างทั้งหมด โดยมีผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับจำนวนมาก จากนั้นได้เดินทางไปยังห้องประชุมชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าในโครงการจาก นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช
โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.60 วงเงิน 9,580 ล้านบาท พร้อมวางเป้าให้เร่งรัดโครงการแล้วเสร็จภายใน 3 ปี จากเดิม 6 ปีนั้น ซึ่งในขณะนี้โครงการมีความก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยโครงการนี้จะมีการขุดคลองใหม่ 3 สาย ประมาณ 18 กิโลเมตร ขุดขยายคลองเดิมคือคลองวังวัว คลองหัวตรุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ในขณะในส่วนของการจัดหาที่ดินทางกรมชลประทานได้มีการปักหลักเขตแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งได้มีการเตรียมแผนแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีต่อพี่น้องประชาชนต่อเนื่องไปอีก 10 ปีอีกด้วย หลังการดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถแก้ปัญหาอุทกภัยหรือน้ำท่วมตัวเมืองนครศรีธรรมราชได้อย่างแท้จริง
ด้าน นายชยันต์ กล่าวว่า ปัจจุบันกรมชลประทานได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ต่อการดำเนินงานในโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ โดยได้เข้าดำเนินการเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ส่วน นายธเนศ ดิษฐปัญญา ผอ.สำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10 กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม แม้โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช จะไม่ได้จัดอยู่ในประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่กรมชลประทานได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างโครงการ จึงได้จัดสรรงบประมาณสาหรับการป้องกันแก้ไข ผลกระทบสิ่งแวดล้อมซึ่งจะดาเนินการควบคู่กับการก่อสร้างโครงการ จำนวน 16 แผนงาน งบประมาณทั้งสิ้น 62.77 ล้านบาท ระยะเวลาดาเนินการ 10 ปี อาทิ 1.แผนการช่วยเหลือเยียวยาให้กับราษฎรที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีทั้งการจ่ายค่าชดเชยที่ดิน ทรัพย์สินให้กับราษฎรที่มีที่ดินตามแนวคลองระบาย 3 สาย ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับราษฎรดังกล่าวด้วย เพื่อให้มีอาชีพ มีรายได้ สามารถพึ่งพาตนเอง ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
นายธเนศ กล่าวต่อว่า 2.แผนการอนุรักษ์และพื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมพื้นที่ในลุ่มน้าให้มีความอุดมสมบูรณ์ ฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้าซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคลองสายต่างๆ เช่น คลองท่าดี นอกจากนี้ยังมีการสร้างฝายเพื่อชะลอ ความเร็วของน้า การกาจัดสิ่งกีดขวางทางน้าเพื่อให้น้าไหลได้สะดวก รวมทั้งการฟื้นฟูพื้นที่ปลายน้าโดยการ ปลูกป่าชายเลนให้มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถเป็นแหล่งที่อาหาร ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้า และป้องกันการกัด เซาะชายฝั่ง 3.แผนการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร ด้วยการเข้าไปส่งเสริมแนะนาในการปลูกพืชให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ การปรับปรุงบารุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี 4.แผนการติดตามเฝ้าระวังระบบนิเวศวิทยาต่างๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้าง และ 5.แผนติดตามด้านเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น โดยจะมีการประชุมติดตามความก้าวหน้าการดาเนินงานอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3 เดือน เพื่อให้การพัฒนาโครงการเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด และเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
"กรมชลประทานเองได้คำนึงถึงการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืน จึงมีมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการในการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIMP) เพื่อดำรงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์แก่คนรุ่นต่อไป ควบคู่กับการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ภาคประชาชนพร้อมเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน" นายธเนศ กล่าว
สำหรับโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริโดยรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชดำริเกี่ยวกับการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเมื่อปี 2531 ส่งผลให้พื้นที่ 16 อำเภอ ใน จ.นครศรีธรรมราช ได้รับความเดือดร้อนถึง 633,787 ราย ในปี 2539 และปี 2543 ประเมินมูลค่าความเสียหายรวมเป็นเงิน 255 ล้านบาท และในปี 2554 เป็นปีที่ได้รับความเสียหายครั้งใหญ่ มีพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยจำนวน 23 อำเภอ พื้นที่การเกษตรเสียหายรวม 580,816 ไร่ ประเมินความเสียหายเป็นรวมเป็นเงิน 2,300 ล้านบาท ทำให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูก บ้านเรือน ตลอดจนชีวิตทรัพย์สินของราษฎร และทรัพย์สินของทางราชการเป็นจำนวนมาก เนื่องจากจังหวัดตั้งอยู่ริมทะเลทางด้านอ่าวไทย มีลำน้ำธรรมชาติซึ่งเกิดจากเทือกเขานครศรีธรรมราชไหลผ่านตัวเมืองอยู่หลายสาย เมื่อเกิดฝนตกหนักในบริเวณเทือกเขานครศรีธรรมราชจะมีปริมาณน้ำในคลองต่างๆ ปริมาณมากไหลผ่านตัวเมือง แต่คลองต่างๆ มีขนาดเล็กลง เนื่องจากถูกบุกรุกและตื้นเขิน ทำให้น้ำระบายลงสู่ทะเลไม่ทัน จึงเกิดการไหลบ่าท่วมตัวเมืองเป็นประจำทุกปี
โดยวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชและบริเวณใกล้เคียงและเพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำหรับการเกษตรกรรมริมฝั่งคลองระบายน้ำ รวมทั้งสามารถป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้ามาในบริเวณพื้นที่โครงการในช่วงฤดูแล้ง โดยการดำเนินงานในภาพรวมของโครงการฯ จะมีการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ จำนวน 3 สาย ความยาวรวม 18.65 กิโลเมตร พร้อมอาคารประกอบ มีความสามารถในการระบายน้ำได้ 650 - 750 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และงานปรับปรุงคลองสายเดิม จำนวน 2 คลอง คือ คลองวังวัว ความยาว 5.90 กิโลเมตร พร้อมอาคารประกอบเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้ 850 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคลองหัวตรุด (คลองท่าเรือ) ความยาว 11.90 กิโลเมตร พร้อมอาคารประกอบเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ในปัจจุบันนี้ทางกรชลประทานได้เข้าดำเนินการเข้าปักหลักเขตชลประทานแล้วเสร็จในส่วนของคลองระบายน้ำสาย 3 ในท้องที่ของ ต.ท่าเรือ และ ต.บางจาก , คลองระบายน้ำหัวตรุด (ท่าเรือ) ในท้องที่ของ ต.ท่าเรือ และ ต.ท่าไร่ , คลองระบายน้ำคลองวังวัว ในท้องที่ของ ต.ช้างซ้าย และ ต.นาพรุ , คลองระบายน้ำสาย 2 ในท้องที่ของ ต.นาพรุ ต.นาสาร และคลองระบายน้ำสาย 1 ในท้องที่ของ ต.นาสาร อ.พระพรหม ยังคงเหลือในท้องที่ ต.ไชยมนตรี ที่ยังไม่สามารถเข้าดำเนินการได้ ข้อมูลถึงปัจจุบันมีราษฎรได้มายื่นคำร้องขอรังวัดสำรวจแปลงที่ดิน และคำขอรังวัดที่ดินเพื่อการชลประทานแล้ว จำนวน 641 แปลง และช่างรังวัดกรมที่ดินได้เข้าดำเนินการรังวัดแล้ว 173 แปลง นอกเหนือจากนี้ยังมีแผนระยะยาวคือการยกระดับพื้นถนนเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากการสร้างสถานีสูบน้ำอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี