ค้าน สนง.สลากพิมพ์ลอตเตอรี่เพิ่ม 87 ล้านชุด ชี้คนไทยซื้อสลาก 21 ล้าน เฉลี่ยคนละ 4 ใบ เท่ากับรัฐหากินกับหวยดูดเงิน ปชช.เดือนละ 9,600 บาท ด้านเยาวชนระบุยิ่งเพิ่มหวยยิ่งมอมเมาคนติดพนัน แนะรับผิดชอบจ่ายภาษีคืนในรูปแบบกองทุนลดปัญหาจากการพนัน
วันนี้(6 ส.ค.61) นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติปรับเพดานพิมพ์สลากต่องวด จาก 80 ล้านฉบับ เพิ่มเป็น87ล้านฉบับ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไป ว่า ที่ผ่านมาสังคมถูกทำให้เข้าใจผิดว่าการซื้อสลากคือการช่วยชาติ อุดหนุนให้รัฐบาลมีเงินพัฒนาประเทศ แต่จริงๆแล้วการซื้อสลากไม่ได้ช่วยชาติเพราะภาวะเศรษฐกิจนอกจากจะขับเคลื่อนด้วยการลงทุนของภาคเอกชน และการใช้จ่ายของภาครัฐแล้ว ยังขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การที่รัฐบาลพิมพ์สลากเพิ่ม เท่ากับเป็นการดูดซับสภาพคล่องจากภาคครัวเรือน เพราะแทนที่ประชาชนจะมีเงินจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กลับนำเงินไปซื้อสลาก ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจน้อยมาก มีเพียงผู้ขายสลากจำนวนหลักหมื่นคนเท่านั้นที่มีรายได้เพิ่ม ขณะที่ภาคครัวเรือนที่เป็นคนส่วนมาก กลับถูกกระตุ้นให้นำเงินไปใช้กับการเสี่ยงโชค การแก้ปัญหาสลากแพงด้วยวิธีพิมพ์เพิ่ม กระตุ้นให้คนไทยมีค่านิยมเสี่ยงโชคมากขึ้น
“จากผลสำรวจของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า คนไทยนิยมซื้อสลากกินแบ่งฯ ถึง 21 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 2 ปีก่อนกว่า 2ล้านคน เฉลี่ยแล้ว 1 คนจะซื้อสลากคนละ 4 ใบ สมมติว่าซื้อในราคาใบละ 100 บาท เท่ากับว่ารัฐบาลได้ทำการดูดเงินจากกระเป๋าประชาชนคนละ 800 บาทต่อเดือนหรือ 9,600 บาทต่อปี และมีโอกาสถูกรางวัลน้อยมาก ขณะที่รัฐได้ประโยชน์จากการกินส่วนแบ่ง 20% จนกลายเป็นกิจการอันดับหนึ่งที่นำส่งเงินเข้าคลัง แม้รัฐจะอ้างว่าเงินจำนวนนี้ถูกนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นเพียงทางอ้อมเท่านั้น และไม่แน่ใจว่าจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่เท่าที่รู้มันเกิดผลกระทบกับสภาพคล่องของเศรษฐกิจฐานล่างที่หายไป” เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าว
ด้านนายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน กล่าวว่า ถึงสลากเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แต่ก็เป็นการพนัน การพิมพ์สลากเพิ่มนอกจากจะดูดเงินจากกระเป๋าพ่อแม่แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจซื้อสลากเพิ่มขึ้นด้วย จากผลสำรวจล่าสุดของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน พบว่า มีเยาวชนอายุ 15-25ปี ถึง 2.085ล้านคนซื้อสลากฯ ทั้งๆที่ คสช.มีคำสั่งห้ามจำหน่ายสลากฯแก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นับได้ว่ากิจการของรัฐสนับสนุนค่านิยมเสี่ยงโชคแก่เด็กและเยาชนด้วย
“คงเป็นการยากที่จะคัดค้านการพิมพ์สลากฯเพิ่ม เพราะดูเหมือนเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่รัฐบาลจะหารายได้เพิ่มด้วยการพนัน ฉะนั้นสิ่งที่อยากเรียกร้อง คือ ความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ไม่ใช่แค่การเอาเงินสำนักงานสลากฯมาบริจาคสร้างโรงเรียน สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล แต่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่รัฐสร้างขึ้น นั่นคือจ่ายภาษีคืนสังคมในรูปของกองทุนลดผลกระทบจากการพนัน ที่ต้องถูกนำมาใช้สนับสนุนกระบวนการทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง ซึ่งสังคมอาจไม่รู้ว่ากองทุนนี้มีอยู่แล้วตามคำสั่ง คสช.ในการแก้ปัญหาสลาก แต่ที่ผ่านมาถูกนำมาใช้ตามวัตถุประสงค์น้อยมาก แม้กระทั่งช่วงฟุตบอลโลกที่ผ่านมา” นายณัฐพงศ์ กล่าว
ส่วนนายราเมศร ศรีทับทิม ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลาก กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นครั้งที่2 ของการพิมพ์สลากเพิ่ม ด้วยข้ออ้างสลากไม่พอขาย ทั้งๆที่เคยบอกว่าหาจุดสมดุลของตลาดเจอแล้วที่ 80ล้านใบ นี่อาจเป็นเพราะประชาพิจารณ์เรื่องหวยชุดล่ม ยังออกหวยชุดไม่ได้ จึงหันมาใช้วิธีพิมพ์สลากเพิ่ม ทั้งที่เป็นวิธีที่ล้มเหลวมาตลอด รัฐเพียงต้องการได้เงินเพิ่มด้วยวิธีการมอมเมาประชาชนอย่างชอบธรรม
“การแก้ปัญหาสลากแพงด้วยวิธีพิมพ์สลากเพิ่มน่าจะถึงทางตันแล้ว เพราะยิ่งพิมพ์เพิ่ม ยิ่งทำให้หวยชุดมีมากขึ้น และเกิดแรงกระตุ้นให้คนเสียเงินซื้อสลากมากขึ้น เข้าใจว่าทางสำนักงานสลากเตรียมแผนอื่นไว้แล้ว รวมทั้งเรื่องออนไลน์ น่าจะถึงเวลาพูดคุยเพื่อหาทางออกกันอย่างจริงจังได้แล้ว ไม่ควรเลี้ยงไข้ไว้แล้วใช้วิธีการตีเนียนหารายได้เพิ่มเข้าตัวเองแบบนี้” นายราเมศร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี