จี้บิ๊กตู่งัด‘ม.44’แบน3สารพิษ ขู่ฟ้องดะพวกเตะถ่วง อุ้มทุนข้ามชาติ
18 ส.ค.61 นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษานายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รมช.เกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวร่วมกับภาคีเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน ว่า มีจุดยืนเสนอให้รัฐบาลยกเลิก หรือแบน 3 สารพิษวัตถุอันตราย คือ พาราควอต , คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเสต โดยทันที ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฎิรูปสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ที่เสนอให้แบนสารเหล่านี้ แต่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมให้ใช้ต่อไป โดยจำกัดรูปแบบการใช้ ทั้งๆมีข้อมูลทางวิชาการที่ระบุถึงอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะทำงานมาศึกษาผลกระทบ ภายใน 60 วัน จะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 22 ส.ค.นี้ โดยภาคีฯเห็นว่าคณะทำงานชุดดังกล่าวตั้งมาเพื่อเตะถ่วงยื้อเวลาเท่านั้น เพราะขณะที่ศาลสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินให้บริษัทมอนซานโต จ่ายชดใช้ให้กับประชาชน ได้รับผลกระทบจากการใช้ยาฆ่าหญ้ากว่า 9.6 พันล้านแล้ว
“ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแบน 3 สารนี้ ไม่ต้องรอผลศึกษาภายใน 60 วัน ถ้ามีความกล้าหาญนายกรัฐมนตรี ควรใช้มาตรา 44 ยกเลิกได้ทันที เพราะนายกฯเป็นคนพูดว่าระหว่างเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ นายกฯจะเลือกสุขภาพประชาชนอันดับแรก ซึ่งเป็นเรื่องการตัดสินใจระดับนโยบาย ต้องเลือกปกป้องสุขภาพประชาชน มากกว่าบริษัทข้ามชาติ” นายธีระ กล่าว
ที่ปรึกษา รมช.เกษตรฯ กล่าวอีกว่า ภาคีเครือข่ายจะเดินหน้าฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาละเว้นปฎิบัติหน้าที่มาตรา 157 กับคณะกรรมการวัตถุอันตราย และกรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานชงเรื่องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย พร้อมกับฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับบริษัทมอนซานโต และกลุ่มพ่อค้าสารพิษ ให้กับผู้ป่วย และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร และคณะกรรมการวัตถุอันตราย ยังเพิกเฉยและเตะถ่วงตลอดมาไม่มีการพิจารณา ทั้งๆที่มีข้อมูลครบถ้วนในเรื่องอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่เลือกผลประโยชน์กลุ่มทุนข้ามชาติมากกว่า
“รัฐบาลยังคงส่งเสริมสนับสนุนการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ต่างประเทศ เลิกใช้แล้วกว่า 53 ประเทศ ผลงานวิจัยทั่วโลกและประเทศไทย มีงานวิจัยสารพิษอันตรายร้ายแรงที่ส่งผลต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม โดยภาคีเครือข่ายฯขอสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และองค์กรภาคีภาคประชาชน 700 องค์กร มีมติขอให้ยกเลิกการใช้สารพิษอันตรายร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดทันที ถ้ารัฐบาลยังประวิงเวลา เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน เครือข่ายฯจะร่วมดำเนินการกับภาคีอื่นๆทั่วประเทศเคลื่อนไหวทุกวิถีทาง ดำเนินการทางกฎหมาย ต่อผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อไป” นายธีระ กล่าว
ด้านนายชนวน รัตนวราหะ เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน และอดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ตนอยู่ในวงการเกษตรมากว่า 70 ปี เมื่อตอนหนุ่มๆตนเป็นคนที่ใช้สารเคมีการเกษตรมากที่สุดของไทย นำขึ้นเครื่องบินโปรยทางอากาศ กำจัดศัตรูพืช แต่สิ่งมีชีวิตตายเรียบ ชาวบ้านบริเวณนั้นป่วยกันมาก จนเปลี่ยนใจมาใช้เกษตรอินทรีย์ เกษตรยั่งยืน มากว่า 30 ปี จริงๆไม่ควรเรียกว่ามีวัชพืชในการเกษตร เพราะเป็นปุ๋ยได้ทั้งหมด ทำเป็นสมุนไพรได้มากกว่าครึ่ง แต่เกษตรกรใช้สารเคมีกำจัดไปหมด เกษตรธุรกิจจะทำลายภาคเกษตร
“ผมอยากจะรู้ว่าเกษตรกรไทยจะตายไหมถ้าแบนสารพิษ 3 ชนิดนี้ทันที ฝากถาม รมว.เกษตรฯด้วย เป็นหน้าที่กระทรวงเกษตรฯต้องให้ความรู้ทางเลือกกับเกษตรกร ใช้วัตถุธรรมชาติ ผลิตสินค้าเกษตรให้ผู้บริโภคปลอดภัย” นายชนวน กล่าว
นายชนวน กล่าวอีกว่า ถ้าแบนพาราควอต เกษตรกรจะขาดทุนอยู่ไม่ได้ เป็นเรื่องไม่จริง ซึ่งเกษตรกรอยากสบาย ชอบใช้สารเคมี ทำการเกษตรจึงมีแต่ขาดทุน เพราะต้นทุน 20% นำไปใช้จ่ายค่ายากำจัดวัชพืช ทั้งๆที่ระหว่างแปลงปลูกข้าวโพดใช้ฟางคลุมดิน กำจัดวัชพืชได้ ไม่ต้องลงทุน ถ้าการทำเกษตรบ้านเรายังใช้จมูกคนอื่นหายใจ จะไม่รอด ถึงเวลาผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯต้องมาปฎิรูปการเกษตรใหม่ ถ้ายังใช้ระบบเกษตรธุรกิจ เกษตรกรไทยเจ๊งทั้งประเทศ สั่งปุ๋ยยาเข้ามาปีละ 7 -8 หมื่นล้านบาท ใช้งบรักษาพยาบาลอีกมากมาย คนไทยจะอยู่กันได้อย่างไรกินสารเคมีไปทุกวัน ลูกหลานไทยช่วยบริษัทสารเคมีร่ำรวยขึ้น แต่เกษตรกรยากจนมีแต่หนี้สิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี