เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข ออกมาประกาศจะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด เป็นสารป้องกันกำจัดวัชพืช 2 ชนิด คือ พาราควอต และ ไกลโฟเซต สารกำจัดศัตรูพืช 1 ชนิด คือ คลอร์ไพริฟอส ซึ่งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นประเด็นโต้แย้งกันมานานข้ามปี ระหว่างกลุ่มที่บอกว่าต้องยกเลิก เพราะมีพิษร้ายแรง มีสารก่อมะเร็ง มีเกษตรกรได้รับพิษภัยเป็นอันตรายต่อร่างกาย ต่อทารกในครรภ์มารดา ต่อสิ่งแวดล้อมฯลฯ
กับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมให้ยกเลิก ด้วยเหตุผลว่า ถ้ายกเลิกแล้วจะใช้อะไรมาทดแทนที่มีผล และราคาที่เท่าเทียมกัน ส่วนอันตรายนั้นถ้าใช้ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำ สารเคมีทุกชนิดก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น
ส่วนใครมีผลประโยชน์ร่วมกับใครต่อการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นเพียงประเด็นดราม่า ที่นำมาอ้างเพื่อให้ฝ่ายตนเองดูดีว่าที่สู้ไม่ได้เพราะเรื่องผลประโยชน์ ไม่ใช่เพราะข้อมูล หรือเพราะความเป็นจริงที่นำมาอ้าง
ว่ากันตามกฎหมาย เรื่องของการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกสารเคมี หรือวัตถุอันตรายทางการเกษตรชนิดใดๆ เป็นอำนาจหน้าที่การพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่แต่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย การยกเลิกนั้นมีขั้นตอน และมีการศึกษาข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ถ้าอันตรายจริงๆ ก็ต้องยกเลิก เหมือนสารเคมีหลายชนิดที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้ยกเลิกมาก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ของกระทรวงสาธารณสุข เคยออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาแล้วมีมติไม่ยกเลิก แต่ให้จำกัดการใช้โดยให้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ไปกำหนดมาตรการจำกัดการใช้มาเสนอภายใน 60 วัน แต่กรมวิชาการเกษตรก็มิได้กระตือรือร้นรีบดำเนินการ จนครบ 60 วัน กรมวิชาการเกษตรก็ไม่ได้มีการบอกกล่าวถึงมาตรการใดๆ ออกมา ซึ่งจริงๆ อาจจะทำกันอย่างเงียบๆ เสนอกระทรวงอย่างเงียบๆ คิดจะใช้ความสงบสยบการเคลื่อนไหว แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับประเด็นขัดแย้งเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว ออกมาปลุกกระแสอีกครั้ง โดยการเสนอให้ยกเลิกการใช้จริงๆ ไม่ใช่จำกัดการใช้
งานนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กฤษฎา บุญราช ออกมาชี้แจงเองว่ากระทรวงเกษตรฯเสนอแผนจำกัดการใช้แก่คณะกรรมการวัตถุอันตรายไปแล้ว ที่สำคัญๆ คือ จำกัดการนำเข้า โดยจะลดการนำเข้าลงกว่าครึ่งของที่เคยนำเข้าในแต่ละปี ผู้ใช้ต้องผ่านการอบรมการใช้ และต้องมีใบอนุญาตจากทางราชการจึงจะใช้ได้ ถ้าลักลอบใช้ต้องมีบทลงโทษ
มาตรการที่ว่านี้ ถ้านำมาใช้จริง น่าจะมีม็อบเกษตรกรมาเยี่ยมกระทรวงเกษตรฯ ในไม่ช้า ดูตัวอย่างมาตรการที่ป้องกันอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยห้ามนั่งท้ายรถกระบะนั่นปะไร โดนประชาชนถล่มเสียจนตำรวจจราจรไปไม่เป็นเลยทีเดียว ต้องถามว่า...มาตรการการใช้ของเกษตรกรที่กำหนดว่าต้องมีใบอนุญาตจากทางราชการ ถ้าลักลอบใช้ต้องมีบทลงโทษนั้น ใครเป็นคนคิด.....คิดได้อย่างไร....หรือคิดว่าถ้าเพิ่มความยุ่งยากในการใช้มากขึ้น เกษตรกรก็จะเลิกใช้ไปโดยปริยาย แนวคิดนี้เหมือนการกลั่นแกล้งเกษตรกร
รอดูกันต่อไปว่า......เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร...แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ.....
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี