4 ก.ย. 2561 นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวในงานแถลงข่าว “จับตาร่าง พรบ.ป้องกันและขจัดการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ทิศทางและระดับการคุ้มครองแรงงานในประเทศไทย” ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) อาคารมณียา ชิดลม กรุงเทพฯ ว่า จากประสบการณ์ต่อสู้ด้านสิทธิผู้ใช้แรงงานมา 30 ปี วันนี้ก็ยังพบปัญหาช่องทางในการต่อรองของผู้ใช้แรงงานในประเทศไทยถูกจำกัดอยู่มาก อาทิ
1.แรงงานในสถานประกอบการเอกชน เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างต้องไปต่อสู้กันที่ศาลแรงงานซึ่งใช้เวลายาวนานนับปี ฝ่ายลูกจ้างที่มีสายป่านสั้นกว่าสู้ไม่ไหวก็ต้องยอมรับค่าชดเชย หรือมีแม้กระทั่งนายจ้างบางรายไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยเลิกจ้างทั้งที่กฎหมายกำหนดให้ต้องจ่าย เช่น อ้างว่านายจ้างล้มละลายแล้วปิดกิจการ นอกจากนี้แม้แรงงานจะสามารถตั้งสหภาพแรงงานได้ตามกฎหมาย แต่ฝ่ายนายจ้างก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดทอนกำลังของฝ่ายผู้ใช้แรงงาน เช่น สร้างแรงกดดันไม่ให้เข้าร่วมสหภาพ หรือตั้งสหภาพซ้อนที่นายจ้างควบคุมได้
2.แรงงานที่เป็นลูกจ้างในภาครัฐ กลุ่มนี้จะลำบากกว่ากลุ่มแรกเพราะไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน เห็นได้จากลูกจ้างตามหน่วยงานกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ จำนวนมากได้รับค่าจ้างน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายแรงงาน และขนาดสิทธิต่างๆ ที่ควรได้รับ ทั้งที่ทำงานหนักไม่ต่างกับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ประจำ เช่น บุคลากรแผนกต่างๆ ในโรงพยาบาล นอกจากนี้กฎหมายก็ไม่อนุญาตให้แรงงานกลุ่มนี้ตั้งสหภาพแรงงานได้
“ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องคิดแหวกกรอบ ด้วยการรวมตัวโดยอิงสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไทยและอิงมาตรฐานกติการะหว่างประเทศในการรวมตัวกัน ท้ายที่สุดก็ก่อตั้งสหภาพพยาบาล ต้องตัดคำว่าแรงงานออกไป เพราะถ้าใช้คำว่าแรงงานจะขัดต่อกฎหมายไทยทันที ก็เลยตั้งสหภาพลูกจ้างภาครัฐแห่งประเทศไทย วันก่อนพาเดินเท้าจากกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ไปทำเนียบรัฐบาล เพราะค่าจ้างเขาไม่ได้เท่าค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐบาลประกาศ เงินเดือนเขาได้ไม่ถึง 9,000 ไม่ถึง 1 หมื่นบาท ลูกจ้างภาครัฐเกือบทุกกระทรวงเป็นแบบนี้” นายสาวิทย์ กล่าว
เลขาธิการ สรส. ยังกล่าวอีกว่า แม้กระทั่งแรงงานในภาครัฐวิสาหกิจที่มีสหภาพแรงงานค่อนข้างเข้มแข็งก็ยังถูกจำกัดสิทธิในการชุมนุมหรือนัดหยุดงาน โดยแต่เดิมผู้ใช้แรงงานไม่ว่าในสถานประกอบการเอกชนหรือในองค์กรรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานฉบับเดียวกัน คือ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กระทั่งการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อปี 2534 ได้แยกกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจออกจากกฎหมายแรงงานภาคเอกชนและมีผลมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ตนย้ำว่าการชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิในการแสดงออกและเป็นอำนาจการต่อรองขั้นสูงสุดของผู้ใช้แรงงาน เช่นเดียวกับฝ่ายนายจ้างที่อำนาจต่อรองสูงสุดคือการปิดงาน จะเห็นว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีความสมดุลกันอยู่ แต่เมื่อปฏิเสธอำนาจต่อรองของฝ่ายลูกจ้าง ก็ทำให้ผู้ใช้แรงงานไม่สามารถปกป้องหรือเรียกร้องสิทธิต่างๆ ได้ ดังนั้นจึงมองว่ามุมหนึ่งการมีกฎหมายป้องกันและขจัดการใช้แรงงานบังคับออกมาโดยเร็วถือเป็นเรื่องจำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือชนชั้นปกครองของไทยต้องเลิกมองการรวมกลุ่มชุมนุมของแรงงานเป็นปัญหาหรือเป็นตัวขัดขวางความเจริญด้วย
“การวิตกกังวลเรื่องการหยุดงานหรือการรวมกลุ่มรวมตัว ผมคิดว่าคนที่มารวมกลุ่มรวมตัวมันไม่ใช่รวมกันบนวิถีทางของการนำไปสู่การกระทำความผิด เราต้องสืบเสาะแสวงหาก่อนว่าเหตุที่เขามาชุมนุมประท้วงมันมีที่มาที่ไป ที่ผ่านมามันไม่เคยเห็นว่าอยู่ดีๆ คนงานลุกขึ้นมาชุมนุมประท้วงปิดกิจการปิดถนน นอกจากมีเหตุปัจจัยเบื้องต้นที่ก่อให้เกิดว่าเขาไม่สามารถทนทำงานนั้นอยู่ต่อไปได้” นายสาวิทย์ กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี