เกษตรฯเตรียมรับมือระเบียบส่งออกเกษตรอินทรีย์ฉบับใหม่ของอียู
5 ก.ย.61 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ และสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป จัดสัมมนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป : ความท้าทายและโอกาสในการส่งออก(EU Organic Market : Export opportunities and challenges) โดยมี น.ส.ดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายมนัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ และ Mr.Pirkka Tapiola เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป(อียู) ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นประธานเปิดการสัมมนา ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร
น.ส.ดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการเปิดงานว่า สหภาพยุโรป ได้มีการประกาศกฎระเบียบ 2018/848 ว่าด้วยการผลิตและการติดฉลากสินค้าเกษตรอินทรีย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 มีผลบังคับใช้ในปี 2564 ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎระเบียบ 834/2007 เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตภายในสหภาพยุโรป หรือนำเข้าจากประเทศที่มิใช่สมาชิกสหภาพยุโรป (หรือเรียกว่า ประเทศที่ 3)
ดังนั้นผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ค้า หน่วยรับรอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ของประเทศไทยนั้น จะต้องเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบฉบับใหม่ ในการปรับตัว เช่น ปรับปรุงระบบการผลิต ระบบการตรวจสอบและรับรอง เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องตามกฎระเบียบฉบับใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) จึงจัดสัมมนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป : ความท้าทายและโอกาสในการส่งออก (EU Organic Market : Export opportunities and challenges) ขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทยและสหภาพยุโรป และกฎระเบียบของอียูเรื่องการผลิตเกษตรอินทรีย์และการติดฉลากสินค้าอินทรีย์ฉบับใหม่ และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบอียูฉบับใหม่ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการพัฒนาสินค้าและสร้างโอกาสการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยไปอียู
ขณะที่นายพิศาล พงศาพิชณ์รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า กฎระเบียบฉบับใหม่นี้ กำหนดให้มีการจัดทำข้อตกลงความเท่าเทียมทางการค้าระหว่างประเทศผู้ส่งออก และสหภาพยุโรป โดยเน้นประเทศที่อยู่ในทะเบียนรายชื่อประเทศที่ 3 เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นต้นก่อน ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) กรมวิชาการเกษตร และกรมการข้าว จึงได้ร่วมกันเตรียมความพร้อม และดำเนินการสมัครขอขึ้นทะเบียนรายชื่อประเทศที่ 3 ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะมีการหารือกับผู้แทน ด้านการพัฒนาชนบทและการเกษตร (Directorate-General for Agriculture and Rural Development : DG-AGRI) เพื่อหาข้อสรุปแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนต่อไป
นายพิศาล ระบุว่า การขึ้นทะเบียนรายชื่อประเทศที่ 3 นั้น ประเทศผู้ส่งออก เช่น ประเทศไทย ต้องได้รับการประเมินมาตรฐาน มกษ.เกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นมาตรฐานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และระบบการตรวจสอบรับรองของประเทศไทย ว่าเทียบเท่าและยอมรับได้ตามกฎระเบียบสหภาพยุโรปด้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเมื่อประเทศไทยได้รับการขึ้นทะเบียนรายชื่อประเทศที่ 3 แล้ว เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย จะต้องดำเนินการตามมาตรฐาน มกษ. เกษตรอินทรีย์ หากได้รับการรับรองมาตรฐาน มกษ.แล้ว จะสามารถใช้ใบรับรองมาตรฐาน มกษ. เกษตรอินทรีย์ เพื่อส่งออกไปสหภาพยุโรป โดยสหภาพยุโรป จะยอมรับใบรับรองดังกล่าว ซึ่งเป็นการลดความซ้ำซ้อน และความยุ่งยากในการปฏิบัติตามมาตรฐานหลายฉบับ ซึ่งการปฏิบัติตามมาตรฐาน มกษ. เกษตรอินทรีย์ ฉบับเดียวนี้ สามารถใช้ในการรับรองเพื่อการส่งออกสหภาพยุโรปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี