ส่งซิกยกเครื่องDSI
‘บิ๊กจิน’อ้างต้องเปลี่ยน
เปิดทางเติบโตใน‘ยธ.’
“บิ๊กจิน” ยันต้องปรับปรุงเปลี่ยนบุคลากร ในดีเอสไอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งเร่งปิดคดีจาก 30 ให้เหลือ 20 คดี ระบุทุกคนต้องเติบโตในสายงานของกระทรวงยุติธรรม ไม่ใช่จบแค่ดีเอสไอ ด้านปลัดยุติธรรม เผยโยกรองอธิบดีกรมประพฤติ ก็เป็นหน่วยงานด้านสืบสวนช่วยหนุนงานดีเอสไอได้
ภายหลังเยี่ยมชมโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อเช้าวันที่ 7 กันยายน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ยืนยันถึงการโยกย้ายแต่งตั้งเพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
โดยระบุว่าดีเอสไอ ต้องทำหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการสอบสวน ที่มีความซับซ้อนหลายมิติ ซึ่งมีหลายเรื่องที่จะต้องลงพื้นที่ รวมทั้งประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการหาข้อมูล และต้องทำงานร่วมกับหลายส่วน
“ปัจจุบันดีเอสไอมีอยู่ประมาณ 30 คดี ซึ่งกำลังจะปรับให้เหลืออยู่ประมาณ 20 คดี ดังนั้น ดีเอสไอ ต้องมีบุคลากรครบ มาจากหลายสายงาน ที่ผ่านมาก็ทำได้ครบถ้วนได้ดี แต่เนื่องจากว่า การที่เราจะให้มีความครบถ้วนและหลากหลายจะต้องมีการบูรณาการทำงานร่วมกัน เหตุผลที่ต้องมีการปรับโยกย้าย คือ 1) ต้องมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาเสริม 2) คนที่อยู่ในหน้าที่การงานปัจจุบัน ต้องมีการเจริญเติบโตในสายงานขึ้นไป ซึ่งต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาส คนในดีเอสไอสามารถเติบโตขึ้นมาในหน่วยงานที่อยู่ในกระทรวงยุติธรรมได้ และมีอนาคตจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม หรือรองปลัดกระทรวงยุติธรรมได้เช่นกัน ไม่ใช่จบแค่ดีเอสไอ”พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวว่า กำลังให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาเพื่อจะย้ายหรือล้วงระดับผอ.กองคดี ของดีเอสไอ โดยโยกออกมาและสลับเอาคนนอกหน่วยงานดีเอสไอเข้าไปแทนนั้น รองนายกฯและรมว.ยุติธรรม กล่าวว่าเรื่องนี้ต้องให้อธิบดีดีเอสไอเป็นผู้พิจารณา ว่าการทำงานของแต่ละกอง และแต่ละแผนก รับผิดชอบอะไรและมีคนครบถ้วนแล้วหรือไม่ ถ้าครบแล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แต่หากไม่ครบถ้วนก็ต้องมีการสลับสับเปลี่ยน ยืนยันว่าไม่ได้เจาะจงลงไปว่าเป็นตำรวจแล้วต้องเอาออกไปจากดีเอสไอ
ต่อข้อถามว่า ลักษณะการปรับโยกย้ายที่เกิดขึ้นในดีเอสไอเหมือนต้องการลดบทบาทและความสำคัญของดีเอสไอให้เล็กลงใช่หรือไม่ พล.อ.ประจิน กล่าวว่า ถ้าเราจะมองให้ถ่องแท้ ประเทศไทยมีเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ในหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรมปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งกระทรวงพัฒนาสังคม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคง ซึ่งรวมอยู่ในมิติของกอ.รมน.
ดังนั้น ไม่ได้หมายความว่าดีเอสไอเป็นหน่วยงานเดียว เราต้องทำงานกับทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน อย่าไปมองว่าดีเอสไอต้องรับผิดชอบงานทั้งหมด ตามความต้องการของพวกเรา เพราะว่าดีเอสไอก็มีขีดจำกัดในการรับภาระมา ซึ่งเมื่อมีโครงสร้างเช่นนี้ และมีคนที่อยู่ในหน่วยงานจะต้องมีสัดส่วนในด้านของเทคนิค นอกจากนี้ ประกอบกับเหตุผลต้องมีผู้บริหารที่เหมาะสมและดูในภาพรวมที่ทุกคนต้องเติบโตก้าวหน้าขึ้นมาทำงานในภาพรวมให้กับกระทรวงยุติธรรมต่อไปได้
ด้านนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีคำสั่งให้นายมณฑล แก้วเก่า รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีดีเอสไอแทน และพ.ต.ท.ประวุธ วงศ์นิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมราชทัณท์ จะมีส่งผลต่องานด้านการสืบสวนสอบสวนหรือไม่ว่า ตนเห็นว่ากระทรวงยุติธรรมมีหน่วยงานที่มีความสามารถด้านการ สืบสวนมีด้วยกันหลายหน่วยงาน ไม่ใช่เฉพาะดีเอสไอ ซึ่งงานของกรมคุมประพฤติเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่สืบสวน สืบเสาะหาข้อเท็จจริงในการที่จะช่วยข้อมูลให้กับศาลในงานผู้ที่ถูกคุมประพฤติ ดังนั้น ในแง่ของการทำเทคนิค การทำคดีอาญาในภาพของประชาชนนั้น คนของกรมคุมประพฤติสามารถที่จะทำงาน ในส่วนนี้ได้ ซึ่งความจริงนั้นยังมีคนมีอีกหลายหน่วยที่สามารถทำได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี