9 ก.ย. 2561 ที่งานประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 8 ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรและชุมชน ณ รร.เชียงของ ทีค การ์เด้นท์ ริเวอร์ฟรอนท์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประเทศไทย ร่วมกับ กสม. ในอาเซียนและองค์กรเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม นายไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ ทั้งโดยภาครัฐและภาครัฐร่วมกับทุนใหญ่ ทั้งที่เกิดขึ้นในไทยและที่เป็นการลงทุนข้ามแดนว่า หลายครั้งก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น
เนื่องด้วยที่ผ่านมาสังคมไทยถูกปลูกฝังด้วยวิธีคิดให้เชื่อเรื่องคนกลุ่มน้อยต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่มาตลอด ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่ใช่แนวคิดที่เป็นธรรม และใครจะรู้ได้ว่าในอนาคตคนที่คิดว่าตนเองเป็นคนส่วนใหญ่อาจกลายเป็นคนส่วนน้อยก็ได้
“ที่ปากมูลจะเห็นว่าปลาหายไปทั้งแม่น้ำ ไม่ใช่แค่แม่น้ำมูลแต่หายไปทั้งอีสานเพราะเขื่อนปากมูลมันปิดตายลุ่มน้ำมูลทั้งระบบ ที่คน 10 ล้านคนต้องพึ่งพาแม่น้ำ มันไม่มีตรงนี้เวลาคิดวางแผนโครงการ” นายไชยณรงค์ กล่าว
นายชัยณรงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้สังคมไทยยังกลายเป็นสังคมบริโภคนิยม ซึ่งไปกันได้ดีกับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ หรือ Neo-Liberalism ทำให้คนไทยไม่ค่อยจะรู้สึกอะไรกรณีภาคธุรกิจของไทยไปลงทุนในประเทศอื่นๆ แล้วไปก่อผลกระทบ ก่อความเสียหายกับคนในท้องถิ่นนั้นๆ แต่จะคิดเพียงว่ากระทบต่อผลประโยชน์ของไทยหรือไม่ รวมถึงบางคนยังมองในแง่ประวัติศาสตร์ชาตินิยมด้วย เช่น ไม่รู้สึกอะไรที่แรงงานพม่าถูกกดขี่ขูดรีดในไทย เพราะเห็นว่าในอดีตอาณาจักรของพม่าเคยมาทำลายอาณาจักรของไทย
“คนไทยจึงไม่รู้สึกอะไรกับการที่ทุนไทยไปลงทุนที่ลาวแล้วมีคนตายจำนวนมาก มีความเสียหายเกิดขึ้นมาก คนข้างล่างอาจรู้สึก มีการนำของไปบริจาคก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นักธุรกิจพลังงาน องค์กรของรัฐที่เกี่ยวกับพลังงานพูดว่าจะกระทบหรือไม่กระทบไทย คนตายยังไม่ได้เผาเลยคุณพูดเรื่องผลประโยชน์แล้ว วิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ เอาเรื่องมนุษยธรรมก่อนไหม” นายไชยณรงค์ ระบุ
ขณะที่ นายอภิสม อินทรลาวัณย์ นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวเสริมในประเด็นชาตินิยมว่า มีบางคนเห็นการสร้างเขื่อนในลาวซึ่งทำให้ตะกอนดินอันเป็นแร่ธาตุอาหารของพืชในพื้นที่เวียดนามหายไปแล้วบอกเป็นผลดีกับไทยเพราะเป็นการตัดคู่แข่ง ต่อไปเวียดนามจะได้ปลูกข้าวมาขายแข่งกับไทยไม่ได้อีก วิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ ต้องมีสำนึกใหม่อย่ามองแต่ชาติของเราได้ประโยชน์
“บริการที่เราได้จากพื้นที่ชุ่มน้ำมันส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร เกิดความสัมพันธ์ทางชุมชนวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำเข้าไปในตัวชี้วัดความเจริญของประเทศ ดูนิดเดียวคือเรื่อง GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) แต่เราไปลงนาม SDGs (กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน) แล้วเราก็มีเศรษฐกิจพอเพียง แต่ความเป็นจริงเราไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย ลงนามไปอย่างนั้นเอง” นายอภิสม ระบุ
ด้าน น.ส. ส รัตนมณี พลกล้า ทนายความด้านสิทธิชุมชน กล่าวว่า เรามีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) แต่ที่ขาดคือผลกระทบทางสังคม (SIA) ทั้งที่สำคัญมากและหากสูญเสียไปจะไม่สามารถฟื้นฟูได้
"ทุกคนคิดว่าคนกลุ่มน้อยต้องเสียสละให้คนกลุ่มใหญ่ เรื่องนี้ต้องตีกลับใหม่ คนกลุ่มใหญ่ต้องให้ความสำคัญกับคนกลุ่มน้อย เพราะคนกลุ่มน้อยเหล่านั้นเขาต้องเสียสละ ต้องให้คุณค่ากับการเสียสละของคน แต่สิ่งสำคัญน่าจะเป็นเรื่องการศึกษาตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัย บ้านเราสอนเรื่องคุณงามความดี หน้าที่พลเมือง แต่ไม่สอนเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ทำให้คนเข้าใจว่าสิทธิมนุษยชนคือความยุติธรรม คือความเข้าถึงและการคุ้มครองปกป้อง" น.ส. ส รัตนมณี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี