จังหวัดราชบุรี ประชุมร่วม 3 เหล่าทัพหาแนวทางเก็บกู้ระเบิดและหัวรถจักรที่จมอยู่ในแม่น้ำแม่กลองใต้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ โดยเบื้องต้นอยู่ในขั้นตอนของการสำรวจ ขณะที่ 1 ในทีมถอดทำลายอมรภัณฑ์ ระบุ รอความชัดเจนคาดลงสำรวจได้ทันที
10 ก.ย.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีข่าวเรื่องการออกมาให้ข่าวของนักสำรวจใต้น้ำและทีมติดตามข้อมูลประวัติศาสตร์เรื่องหัวรถจักรและการพบระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใต้น้ำบริเวณตอม้อสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ข้ามแม่น้ำแม่กลอง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี หลังมติ ครม.ให้มีการดำเนินการสร้างทางรถไฟรางคู่ นครปฐม – หัวหิน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2560 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้นทาง กับบริษัทผู้รับจ้างที่ผ่านการคัดเลือก หนึ่งในนั้นคือ การก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้กองทัพเริ่งดำเนินการสนับสนุนทางจังหวัดราชบุรีและการรถไฟแห่งประเทศไทย ในการเก็บกู้วัตถุระเบิดขึ้นมา พร้อมกำชับว่าให้ทำงานอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ส่งผลกระทบและเหตุการณ์ระเบิดขึ้น อาจจะเกิดอันตรายขึ้น
นายวีรัส ประเศรษโฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น. นายวีรัส ประเศรษโฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ประธานคณะทำงานเพื่อประสานงานและดำเนินการการก่อสร้างรถไฟทางคู่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ได้เชิญหน่วยงานหลักๆ ที่เตรียมดำเนินการการเก็บกู้วัตถุระเบิดและหัวรถจักรไอน้ำใต้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ ประกอบด้วย คณะนำงานจังหวัดราชบุรี ผู้แทนจากกองทัพ กรมการทหารช่าง ผู้แทนกรมสรรพวุธทหารบก (กองพันสรรพาวุธกระสุน ชุดทำลายล้างวัตถุระเบิด) ผู้แทนกรมสรรพวุธทหารอากาศ (กองทำลายวัตถุระเบิด) ผู้แทนกรมสรรพวุธทหารเรือ (กองประดาน้ำและถอดทำลายอมภัณฑ์) ผู้แทนมณฑลทหารบกที่ 16 การรถไฟแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดราชบุรีและตัวแทนบริษัทผู้รับจ้างสร้างทางรถไฟรางคู่ นครปฐม – หัวหิน เข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิดและหัวรถจักไอน้ำ ที่ห้องประชุมหลวงยกบัตร ศาลากลางจังหวัดราชบุรี
โดยที่ประชุมได้อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าบันทึกภาพแค่ช่วงการการเริ่มประชุม จากนั้นได้เชิญสื่อมวลชนให้ออกด้านนอกเนื่องจากเป็นการประชุมภายใน จากนั้น จะให้สัมภาษณ์ภายหลังจากเสร็จการประชุม
บรรยากาศที่ประชุม
ซึ่งบรรยากาศที่ประชุมเป็นไปอย่างตึงเครียด เนื่องจากการกำหนดแนวทางการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 70 ปี และจมอยู่ในน้ำ ซึ่งต้องทำงานกันอย่างระมัดระวังและจะต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน โดยแหล่งข่าวระบุว่า การประชุมได้มีการเสนอแนวทางออกเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1.กำหนดแนวทางในการลงไปสำรวจข้อเท็จจริงว่ามีระเบิดอยู่จริงทั้งหมดกี่ลูกและหัวรถจักรไอน้ำที่จำอยู่นั้นบริเวณใต้หัวรถจักรฯจะมีรถเบิดอยู่หรือไม่ เพราะถ้าเคลื่อนย้ายหรือมีการขยับเขยื้อนอาจจะส่งผลอันตรายได้
2.ขั้นตอนของการเก็บกู้ โดยจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำลายและเก็บกู้วัตถุระเบิดใต้น้ำเป็นผู้ดำเนินการเก็บกู้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการทำลายวัตถุระเบิดของกองทัพ รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญการเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดจากต่างประเทศ และ
3. การเคลื่อนย้าย ซึ่งจะต้องดำเนินการกันเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ประชุมยังระบุว่าการดำเนินงานให้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการจัดสรรเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเก็บกู้ในเบื้องต้น ส่วนการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านสื่อมวลชน หรือ ผ่านสื่อออนไลน์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ตรงกันและเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนได้มอบหมายให้ประชาสัมพันธ์จังหวัดราชบุรีเป็นผู้ดำเนินการ
ภายหลังใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการประชุม นายวีรัส ประเศรษโฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ได้ออกมาให้ข่าว ระบุว่า สรุปการดำเนินงานวันนี้เราได้มีการประชุมในคณะทำงานระดับจังหวัดมีอยู่ 2 ประเด็น เรื่องแรกการสร้างทางรถไฟที่อาจจะกระทบกับที่มีการสำรวจเบื้องต้น ว่ามีการพบลูกระเบิดก้คุยกันหลายประเด็นว่าจะต้องทำอย่างไร จะเริ่มจากการสำรวจก่อนหลังจากฤดูน้ำหลากผ่านไปก็คงจะเริ่มได้ประมาณกลางเดือนธันวาคม และคิดกรอบแบบคร่าวๆจากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญจากกองทัพกำหนดไว้ 2+1 เดือน เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริง
หลังจากนั้น ก็จะมากำหนดแผนในการกู้เฉพาะระเบิดโดยจะให้ทั้ง 3 เหล่าทัพตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีให้ศึกษาข้อมูลและให้กรมการทหารช่างเป็นผู้สนับสนุนข้อมูลในการดำเนินการ และกำหนดระยะเวลาคร่าวๆไว้ 5 – 6 เดือน เพื่อที่จะเริ่มก่อสร้างได้และมีการกำหนดทางรดทางข้ามบริเวณเมืองเก่าด้วย และขอให้นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการเมืองเก่าและดำเนินการขออนุญาติดำเนินการก่อสร้างกับกรมเจ้าท่าให้ถูกต้อง
ส่วนเรื่องที่ 2 เรื่องของหัวรถจักรซึ่งเป็นเรื่องเดิมสมัยก่อนแรกๆ มีคนขึ้นไปนั่งบนหัวรถจักรเพื่อตกปลาซึ่งก็เห็นชัดเจนว่าอยู่ตรงไหน แต่ที่เราไม่แน่ใจคือจะมีรถเบิดอยู่ใกล้เคียงหรือไม่ โดยเราได้มอบให้คณะศึกษาชุดหนึ่งไปตั้งคณะดำเนินการที่เกี่ยวข้องว่าจะกู้โดยวิธีใด ซึ่งจากประเด็นที่รัฐมนตรีคมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆ ว่าเห็นด้วยกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี จะเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ เราก็จะทำคู่กันไปหลังจากที่เราเก็บกู้ระเบิดขึ้นมาหมดแล้ว โดยเราจะเก็บกู้ระเบิดขึ้นมาก่อน
นายวีรัส ยังกล่าวอีกว่า เมื่อกำหนดแผนปฏิบัติการเก็บกู้ระเบิดแล้วถ้าจำเป็นที่เราจะต้องใช้กฎหมายหรือมีผลกระทบใด เราก็จะออกประกาศเพื่อขอความร่วมมือกับประชาชน เช่น ห้ามใช้พื้นที่บริเวณนี้ มีการปักป้ายบอกเขตห้ามเข้า ปักป้ายเตือนภัย เราจะทำที่เซฟที่สุดเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน ระยะนี้ยังอยู่ในช่วงการศึกษาข้อมูล เพราะไม่สามารถดำเนินการได้ต้องรอให้พ้นในช่วงฤดูน้ำหลาก ต้องให้น้ำลดลงและนิ่งก่อน จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมนี้
ส่วนการดำเนินการอพยพประชาชนออกนอกพื้นที่นั้นตอนนี้ยังไม่มีการออกประกาศหรือคำสั่งใดๆ จนกว่าจะรู้แน่ชัดว่าเป็นระเบิดประเภทใดและยังไม่มีกำหนดว่าจะเก็บกู้เมื่อใด ทั้งนี้ ทางจังหวัดได้ออกประกาศคำสั่งไปแล้วขอความร่วมมือประชาชนหรือกลุ่มบุคคลใดๆ เข้าไปในเขตพื้นที่วัตถุระเบิด 200 เมตร
ส่วนทางด้าน ร.อ.ฐัตวัฒน์ พัศคุรักษา หน่วยทำลายอมภัณฑ์ กรมสรรพวุธทหารเรือ ได้ให้ข้อมูลบางช่วงบางตอนว่า ในเบื้องต้นระดับน้ำในลักษณะนี้ที่มีกะแสไหลแบบนี้อาจจะลงไปสำรวจได้ต้องขอกลับไปดูก่อน แต่ก็ยังไม่รับปาก เพราะยังไม่ได้ลงไปดูหน้างานและในพื้นที่จริงทางตนก็ยังไม่เห็นของจริงและต้องรอความชัดเจนในการดำเนินการ ทั้งการตั้งทีมในการปฏิบัติงานที่ชัดเจน
ร.อ.ฐัตวัฒน์ พัศคุรักษา
สำหรับสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ทอดข้ามลำน้ำแม่กลอง ที่จะออกสู่กรุงเทพฯ หรือ ล่องใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้มีกิจการรถไฟ เฉพาะสำหรับสายใต้ได้เชื่อมถนนรถไฟ จากสถานีรถไฟบางกอกน้อยไปถึงสถานีรถไฟเพชรบุรี ทรงโปรดให้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองสำหรับทั้ง รถยนต์ และรถไฟ และทรงเสด็จเปิด พร้อมพระราชทานนาม "สะพานจุฬาลงกรณ์" เมื่อปี พ.ศ.2444 และเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แถบเอเชียก็เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา เช้าวันที่ 8 เดือนธันวาคม พ.ศ.2484 กองทัพญี่ปุ่นอันเป็นฝ่ายอักษะ ได้ยกพลขึ้นบกที่ฝั่งทะเล จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่าน เข้ายึดประเทศพม่า
ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ฝ่ายสัมพันธมิตร ศัตรูของญี่ปุ่น โดยที่กองทัพญี่ปุ่นได้เคลื่อนพลจากนครศรีธรรมราช ผ่านสุราษฎร์ธานี – ชุมพร – ประจวบคีรีขันธ์ – เพชรบุรี - ราชบุรี สู่กาญจนบุรี ซึ่งที่กาญจนบุรี กองทัพญี่ปุ่นต้องเกณฑ์เชลยศึกมาสร้างสะพาน เพื่อยกพลทางรถไฟเข้าสู่พม่า เกิดตำนาน "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" มีเชลยศึกล้มตาย จำนวนมาก โดยอดีตไทยโจ้ หรือ ไทยเสรีชาวราชบุรี 1 ในผู้ตรวจกองทหารญี่ปุ่นได้ออกมาเผยเหตุการณ์ในขณะที่กองทัพญี่ปุ่นผ่านที่จังหวัดราชบุรี ได้นำกำลังส่วนหนึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ ขณะนั้นอายุประมาณ 22 ปี ทำหน้าที่คอยโบกธงตรวจตราเรือของทหารญี่ปุ่นที่เดินทางมายังค่ายบริเวณท่าน้ำหัวเกาะวัดเกาะนัมมทาปทวลัญชาราม และยังทำหน้าที่คอยเดินตรวจตราค่ายของทหารญี่ปุ่นเพื่อให้เกิดความสงบสุขสามารถอยู่กันได้ จนเกิดเหตุฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ทิ้งระเบิดจำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกในคืนวันที่ 14 ม.ค. 2488 ครั้งที่ 2 คืนวันที่ 30 ม.ค.2488 และครั้งสุดท้าย คืนวันที่ 11 ก.พ. 2488 ซึ่งเป็นลูกระเบิดแบบตั้งเวลา มาระเบิดในรุ่งเช้าของวันที่ 12 ก.พ.2488 ทำให้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ฝั่งตัวเมืองราชบุรีขาดได้รับความเสียหาย ไม่สามารถใช้สัญจรได้ ส่งผลให้กองทัพญี่ปุ่น ไม่สามารถซ่อมแซมสะพานจุฬาลงกรณ์กลับได้ทันเวลา จึงเลือกที่สร้างทางรถไฟใหม่ ทางด้านเหนือน้ำ (แนวสะพานธนะรัชต์ปัจจุบัน) โดยระดมไม้เสา ไม้ซุง ต่างๆ มาปักทำเป็นตอม่อชั่วคราว
จนทหารญี่ปุ่นให้ทางชาวไทยไปหาท่อนซุง หรือ ต้นไม้มาทำเสาตอหม้อ โดยชาวไทยได้ใช้กลยุทธในการที่จะทำให้สะพานรถไฟชั่วคราวพังทลายลง จึงได้นำไม้นิ้ว หรือ ไม่นุ่น ขนาดใหญ่มาให้ทางญี่ปุ่น ซึ่งเห็นว่าเป็นไม้ท่อนใหญ่จึงให้นำไปเสาตอหม้อสะพาน โดนไม้นิ้ว หรือ ไม้นุ่น เป็นไม้ที่เปาะและหักโค่นง่าย จนสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลงอได้สำเร็จเรียบร้อย ญี่ปุ่นจึงนำหัวรถจักรของ รฟท. มาลองวิ่งทดสอบดู เริ่มต้นตั้งแต่หัวสะพานฝั่งด้านเมืองราชบุรี ขาล่องใต้ วิ่งข้ามไปยังฝั่งค่ายบูรฉัตร ขาเข้ากรุงเทพฯ การวิ่งบนสะพานรถไฟชั่วคราวผ่านไปได้ด้วยดี
จากนั้นได้ทดลองวิ่งถอยหลังกลับมาทางฝั่งเมืองราชบุรี ปรากฏว่า ตอม่อชั่วคราวไม่สามารถทานน้ำหนักได้เนื่องจากเป็นไม้ที่เบาะหักง่าย สะพานจึงหัก ส่งผลให้หัวรถจักรที่นำมาทดลองวิ่งจมลงสู่ใต้น้ำบริเวณใต้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ ที่ปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบัน ทำให้หทารญี่ปุ่นไม่สามารถใช้เส้นทางสู่ทางภาคใต้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี