19 ก.ย.61 นายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้รับคำยืนยันจากผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพิษณุโลก ว่าชาวนาในพื้นที่ทุ่งบางระกำ และ 12 ทุ่งลุ่มเจ้าพระยา ได้เก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จทั้งหมด โดยขณะนี้กรมชลประทาน สามารถนำน้ำเข้าทุ่งได้ ให้เป็นจุดพักน้ำ ซึ่งจะปล่อยปลาทุ่งบางระกำ และทุ่งเจ้าพระยา วันที่ 28 - 29 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ จะเป็นพันธุ์ปลาที่อยู่ในทุ่งได้ และปล่อยพันธุ์กุ้งแม่น้ำ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมจากทำประมง พร้อมกันนี้ ตนได้สั่งให้กรมประมง และองค์การสะพานปลา เป็นผู้รับผิดชอบด้านประมงดูแลจนถึงการจับปลาไปขาย รวมทั้งหาผู้มารับซื้อและช่องทางจำหน่ายให้ได้ราคาดี
ด้าน นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า วันนี้ได้เริ่มทะยอยปล่อยน้ำเข้าทุ่งบางระกำ ประมาณ 2 - 3 ร้อยล้าน ลบ.ม.จากความจุของทุ่ง 550 ล้าน ลบ.ม.เพื่อตัดยอดน้ำของลุ่มน้ำยมเข้าไปในทุ่งไว้ก่อน เนื่องจากน้ำยมยังต้องรับน้ำจากอิทธิพลของพายุมังคุด ที่ฝนตกหนักบริเวณ จ.พะเยา , จ.น่าน และ จ.แพร่ โดยน้ำปริมาณก้อนใหม่นี้จะลงมาสู่ลุ่มน้ำยม ในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ย.) โดยได้ตัดน้ำเข้าทางแม่น้ำยมสายเก่า ผ่านประตูระบายน้ำต่างๆ ที่จะนำน้ำเข้าไปพักไว้ในทุ่งบางระกำส่วนหนึ่งก่อน
ส่วนพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างจะเริ่มทะยอยปล่อยน้ำเข้าทุ่ง วันพรุ่งนี้ (20 ก.ย.) ทั้ง 9 ทุ่ง เช่น ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก ทุ่งเชียงราก ทุ่งท่าวุ้ง ทุ่งบางกุ่ม ทุ่งบางกุ้ง ทุ่งบาล-บ้านแพน ทุ่งป่าโมก ทุ่งผักไห่ ทุ่งเจ้าเจ็ด โดยช่วงแรกจะปล่อยในปริมาตร 30 - 50 % ของความจุแต่ละทุ่ง โดยเฉลี่ยความลึก 30 - 50 เซนติเมตร ส่วนทุ่งโพธิ์พระยาจะนำเข้าสิ้นเดือน ก.ย.
ส่วนอีก 2 ทุ่ง คือ โครงการฯ พระยาบรรลือ และโครงการฯ รังสิตใต้ เป็นพื้นที่ระบายน้ำผ่านทุ่งลงสู่อ่าวไทย ซึ่งการนำน้ำเข้าทุ่งเจ้าพระยาจะผ่านแม่น้ำน้อยและคลองชัยนาท-ป่าสัก โดยการผันน้ำเข้าจะดำเนินการตามสถานการณ์น้ำในระบบ ไม่ใช่การตัดยอดน้ำหลาก เพราะขณะนี้น้ำเหนือมีปริมาณไม่มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นน้ำจากฝนที่ตกในพื้นที่และต้องตัดน้ำเข้าไปนอนทุ่งตามช่วงเวลาที่เหมาะสม อีกทั้งต้องเป็นไปตามความต้องการของเกษตรกร ที่ต้องการคุมวัชพืช ตัดวงจรโรคและแมลง รวมทั้งจะนำปลาไปปล่อยเพื่อให้ชาวบ้านทำประมงเป็นอาชีพเสริม ซึ่งจะไม่เป็นการปล่อยน้ำไหลลงทะเลโดยเปล่าประโยชน์
รวมทั้งขณะนี้ยังไม่สิ้นฤดูฝน ยังมีฝนตกกระจายตามอิทธิพลของมรสุมในอ่าวไทย ซึ่งปลายเดือนนี้กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า มีโอกาสที่จะมีมรสุมและร่องฝนพาดผ่านภาคกลาง ทั้งนี้ ในวันที่ 24 ก.ย.จะประชุมคณะอนุกรรมการติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ฝนในสัปดาห์หน้าและโอกาสการเกิดพายุ ซึ่งจากค่าเฉลี่ยจะมีพายุเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกปีละ 26 ลูก ซึ่งปีนี้เกิดไปแล้ว 23 ลูก จึงยังคงเหลืออีก 3 ลูกที่ต้องติดตามว่า จะเกิดหรือไม่ หรือหากเกิดแล้วเคลื่อนตัวไปทิศทางใด และส่งอิทธิพลให้เกิดฝนในประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน แต่หากสิ้นเดือนกันยายนแล้ว พายุจะเข้าทางภาคใต้ เนื่องจากเป็นฤดูฝนของภาคใต้
อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า หากมีพายุในช่วงระหว่างนี้จนถึงสิ้นเดือน ก.ย.มั่นใจว่ากรมชลประทานสามารถบริหารจัดการน้ำได้ เนื่องจากยังมีพื้นที่ว่างในทุ่งรองรับได้หมด เนื่องจากไม่มีน้ำเหนือมาสมทบ เพราะฝนตอนบนทางปีนี้ไม่มาก อีกทั้งหากฝนตกทางภาคเหนือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ยังรองรับได้อีกมาก ขณะนี้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 ที่ จ.นครสวรรค์ อยู่ที่ประมาณ 900 ลบ.ม.ต่อวินาที ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 650 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงไม่มีภาวะน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ดังนั้น หากไม่มีพายุเข้าภาคกลาง หลังสิ้นเดือน ก.ย.แล้ว จะไม่มีโอกาสเกิดน้ำท่วมภาคกลางดังปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีฝนตกท้ายเขื่อนก็สามารถบริหารจัดการได้แน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี