องค์กรพันธมิตรนักศึกษาออกแถลงการณ์ กรณี ประกาศฉบับที่ 89/2561 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ส่วนหน้าพร้อมแคมเปญหนองจิกพื้นที่สีเขียวไม่ใช่พื้นที่สีแดง
20 กย.61 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเหตุคนร้ายดักซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารชุดกองร้อยทหารพรานที่ 43030 จำนวน 6 นาย ในขณะมุ่งหน้ากลับฐานปฏิบัติการย่อย หลังจากเสร็จภารกิจตั้งด่านตรวจในพื้นที่เกิดเหตุโดยใช้รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดดังกล่าวถูกยิงเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 2 นาย และได้รับบาดเจ็บอีก 4 นาย เหตุเกิดเมื่อ11กย.ที่ผ่านมา
จึงกลายเป็นที่มาของการประกาศใช้กฎหมายพิเศษภายใต้กฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเขตพื้นที่ใน 2 ตำบล ได้แก่ตำบลบางเขา ตำบลท่ากำชำ ภายใต้ยุทธการบางทันบางเขา ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี นำกำลังผสมเพิ่มลงพื้นที่ 1 พันนาย เพื่อปิดล้อมตรวจค้นไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยมีกำลังทั้งทางบก ทะเล อากาศ ซึ่งปฏิบัติการไล่ล่ากลุ้มคนร้ายที่ก่อเหคุดังกล่าวยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง กำลังทหาร ทั้งทหารพราน ฉก.ทหารพรานที่43 สนับสนุนกำลังทหารพรานเพิ่ม เป็นชุดฉก.ทหารพรานที่ 22 ชุดปฏิบัติการทางน้ำ ทางเรือของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน จ.นราธิวาส และชุดปฏิบัติทางอากาศของชุดอโณทัย
นอกจากนั้น ยังสนธิกำลังปิดล้อมตรวจค้นไล่ล่ากลุ่มคนร้าย ตามยุทธการบางเขา-ท่ากำชำ ในเขตพื้นที่ ต.บางทัน ต.บางเขา ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก และเกาะตันหยงเปาว์ ซึ่งเป็นป่าโกงกางทึบ รวมทั้งการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ทั้งบนบก และทางน้ำ และปล่อยกำลังไปควบคุมตามจุดต่างๆที่เป็นเส้นทางประชาชนสัญจรไปมา
จึงทำให้มีตัวแทนประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะภรรยาของผู้ถูกควบคุมในฐานะผู้ต้องสงสัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบซุ่มกำลังทหารพรานดังกล่าว มาร้องทุกข์กับศูนย์ประสานงานสิทธิมนุษยชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ผ่านมา โดยอ้างว่าการดำเนินการยุทธการดังกล่าวได้ละเมิดสิทธิของพลเมือง จนทำให้ประชาชนหวาดกลัว หวาดระแวงเพราะไม่รู้ใครจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่จะถูกเชิญไปสอบสวน จนทำให้ไม่กล้าออกไปทำมาหากิน เพราะประชาชนในพื้นที่ 2 ตำบล ดังกล่าวยึดอาชีพทำประมงเป็นส่วนใหญ่จะออกไม่เป็นเวลาที่แน่นอน ตามที่เป็นข่าวมาแล้วนั้น
โดยล่าสุดวานนี้องค์กรพันธมิตรนักศึกษา ได้ออกแถลงการณ์ต่อท่าทีดังกล่าวพร้อมแคมเปน หรือรณรงค์พื้นที่ ”หนองจิก พื้นที่สีเขียว ไม่ใช่สีแดง” โดยมีคำแถลงการณ์ดังนี้ มีกำหนดลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ สอบถามความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ และร่วมสร้างความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนในพื้นที่
จากเหตุการณ์ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารพรานที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 4 นาย เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์ที่นำความเศร้าโศกให้เกิดกับครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเท่านั้น แต่ประชาชนทุกคนก็เสียใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งการไล่ล่าปิดล้อมตรวจค้นอย่างต่อเนื่องวันละ 24 ชม. นับตั้งแต่วันที่ 12 จนถึงปัจจุบัน ในตำบลบางเขา และตำบลท่ากำชำ จังหวัดปัตตานี เป็นสองตำบลที่มีบริเวณใกล้เคียงเกิดเหตุซุ่มโจมตี
จากการแถลงข่าวที่แข็งกร้าวของ พล.ท. ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ที่กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กว่า 1,000 นาย ที่เป็นกำลังร่วมทั้ง ตำรวจ ทหาร นาวิกโยธิน หน่วยบิน และฝ่ายปกครอง ดำเนินการปฏิบัติการทางทหารเพื่อการจับกุมผู้กระทำผิด ขณะนี้กำลังเตรียมกฎหมายให้เข้มข้น โดยอาจจะต้องเอาผิด ถึงพ่อแม่ ภรรยา ญาติพี่น้องของผู้ต้องสงสัยที่กำลังหลบหนี ที่สำคัญ และประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ ตำบลบางเขา และตำบลท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี นำอาวุธปืน/เครื่องกระสุน และยานพาหนะ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2557
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของบุคคล กลุ่มคน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการกระทำจากคนในพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด การนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมืองและป้องกันมิให้เกิดการกระทำซ้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญยิ่งของเจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนและเราสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่การใช้กำลังประมาณ 1,000 นาย เพื่อไล่ล่าคนร้ายเพียงไม่กี่คนเป็นการใช้กำลังที่ไม่ได้สัดส่วน (disproportionate use of force) อันจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิเช่น เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่ เด็กที่จะเห็นอาวุธปืนตลอดเวลาในหมู่บ้านของตนเอง ประชาชนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ โดยเฉพาะอาชีพประมงพื้นบ้านเพราะพื้นที่ทำงานถูกกล่าวหาว่าเป็นพื้นที่ซ่องสุม
ถึงแม้ว่า ประเทศไทยได้เป็นภาคีในสนธิสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองบุคคลพลเรือนในระหว่างสงคราม หรือการขัดแย้งทางกำลังทหารแต่จากการแถลงของเจ้าหน้าที่ที่กล่าวว่า “จะเอาผิด ถึงพ่อแม่ ภรรยา ญาติพี่น้องของผู้ต้องสงสัยที่กำลังหลบหนี” และการประกาศให้ชาวบ้านนำยานพาหนะทุกชนิดมารายงานต่อเจ้าหน้าที่เป็นการลงโทษแบบเหมารวม (collective punishment) ซึ่งในอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ในมาตรา 33 มาจากข้อ 50 กฎข้อบังคับของเฮกว่า "ไม่มีการลงโทษทั่วไปทั้งทางการเงินหรือการลงโทษอื่นๆต่อประชาชนเพราะการกระทำส่วนบุคคล ซึ่งการกระทำเหล่านั้นไม่สามารถถือได้ว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน" และนอกจากนี้ยังเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนในอีกหลายๆฉบับ
มาตรการนี้เชื่อว่า มีเป้าหมายเพื่อกดดันให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและปฏิเสธการสนับสนุนผู้ใช้ความรุนแรง แต่ผลที่ปรากฏอาจออกมาตรงข้ามได้เพราะประชาชนถูกกดดันและควบคุมการใช้ชีวิตประจำวัน ถูกกล่าวหาแบบเหมารวม และขาดความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายเพราะการกล่าวหาโดยปราศจากหลักฐานกับคนหลายคนเพียงเพื่อจับกุมคนเพียงบางคน ซึ่งเป็นการทำลายบรรยากาศการสร้างความสันติภาพและฟื้นฟูสังคม
องค์กรพัฒนาเอกชนมีความเป็นห่วงกังวลต่อแถลงการณ์และประกาศฉบับที่ 89/2561 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นอย่างมากซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องการใช้อำนาจทางปกครองที่ผิดพลาด กล่าวคือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ได้ประกาศพื้นที่ควบคุมพิเศษโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกพ.ศ.2457 ทั้งที่กฎอัยการศึกไม่ได้ให้อำนาจใดแก่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในไว้ ความสับสนของการใช้อำนาจพิเศษดังกล่าว ยิ่งก่อให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และส่งผลต่อการรับผิดทางกฎหมายหากมีการกระทำผิดทางปกครอง หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจดังกล่าว
องค์กรพัฒนาเอกชานตามรายนามด้านล่างนี้จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการดังกล่าว ให้ทบวนพิจารณาถึงความจำเป็นของประกาศดังกล่าวและแสวงหามาตรการที่ไม่กระทบกับประชาชนผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และให้คำนึงหลักสิทธิมนุษยชน และหลักมนุษยธรรม และหากพบว่าเกิดความเสียหายเดือดร้อนเกินสมควรต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์จะต้องมีการชดใช้เยียวยาที่เหมาะสมตามสมควร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี