ถ้ามีผมตายแน่! ‘ทนายตั้ม-เอมี่’หอบหลักฐานยื่นตำรวจ ยันไม่มีวิ่งเต้นเคลียร์คดี
เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 21 ก.ย.61 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ และ น.ส.อาเมเรีย หรือเอมี่ จาคอป อดีตมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2006 นำเอกสารหลักฐานการต่อสู้คดีในชั้นศาล และคำพิพากษาฉบับรับรองสำเนาถูกต้องมามอบให้ พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น. โดยระบุก่อนการให้สัมภาษณ์ ว่า วันนี้ขออนุญาตไม่ให้ น.ส.อาเมเรีย ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพื่อเป็นการปกป้องลูกความของตนเอง
นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้ได้นำหลักฐานที่ใช้ในการต่อสู้คดีของ น.ส.อาเมเรีย ไม่ว่าจะเป็นพยานวัตถุ พยานเอกสาร ที่มีการรับรองสำเนาถูกต้อง คัดถ่ายมาจากศาลทั้งหมด ทุกอย่างในสำนวนมีคำฟ้อง คำให้การตั้งแต่ชั้นสอบสวน ชั้นศาล เอกสารที่โจทก์ จำเลย รายงานกระบวนพิจารณา หลักฐานทางการเงินของ น.ส.อาเมเรีย และครอบครัว คำพิพากษาของศาล
ที่สำคัญคือหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของ น.ส.อาเมเรีย ที่ยืนยันได้ว่า เอมี่ ไม่ได้อยู่กับแฟน ขณะที่แฟนไปรับยาเสพติด นำมายื่นให้กับคณะกรรมการตรวจสอบสอบข้อเท็จจริง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการต่อสู้คดีว่าไม่มีลับลมคมในทั้งสิ้น เราสู้ด้วยกระบวนการกฎหมายทั้งหมด พยานหลักฐานที่นำมาสำหรับคนที่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย เมื่อเห็นคำพิพากษา เห็นสำนวนคดีทั้งหมดแล้วจะเข้าใจได้ดีว่าที่ น.ส.อาเมเรีย ชนะคดีนี้ เพราะเป็นเอกสารทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น
เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่ที่มีคนออกมาร้องเรียนและมีหลักฐานสำคัญด้วย นายษิทรา กล่าวว่า ไม่มีความหนักใจเลย หากคนร้องเรียนมั่นใจว่าตนเองมีหลักฐานสำคัญจริงๆ ถ้าเกิดผลออกมามาแล้วว่าไม่มีตำรวจทุจริต ต้องรับผิดชอบด้วย และอยากเรียกร้องให้ตำรวจ อัยการ ที่เสียหาย ต้องเอาเรื่องเขาแล้ว เพราะออกมาทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในกระบวนการยุติธรรม หากไม่ใช่เรื่องจริงขึ้นมา แต่เสียหายไปแล้ว ถามว่าไม่ได้ร้องเรียนตน แล้วตนมาทำไม ตนเป็นทนายของ น.ส.อาเมเรีย หากมีการวิ่งเต้นคดี มันก็ต้องกระทบกับตนด้วย เพราะตนเป็นทนายความ
เมื่อถามว่าทางคู่กรณียืนยันว่ามีพยานบุคคล 3 คน ที่สามารถยืนยันได้ว่ามีการวิ่งเต้นคดีจริง มีความกังวลใจหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ไม่มีความกังวลใดๆทั้งสิ้น ขอให้นำหลักฐานไปเสนอกับทาง บช.น.หากมีผลออกมาอย่างไร ค่อยฟังกันอีกครั้งดีกว่า เพราะเราสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของ น.ส.อาเมเรีย และยืนยันว่าไม่มีการวิ่งเต้นคดี และโอนเงินให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแน่นอน หากเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดเคยรับเงินจากตนหรือแม่ของ น.ส.อาเมเรีย ให้ออกมายืนยันได้ หากมีหลักฐานชัดเจนตนตายแน่นอน แต่มันไม่เคยมีทั้งสิ้น ซึ่งตอนที่ต่อสู้คดีอยู่ทางตำรวจที่ทำคดีก็ยังไม่อยากคุยกับตนเลย เพราะคดีนี้เป็นคดีที่ดาราถูกจับได้และเป็นคดีที่สำคัญ สื่อให้ความสนใจ ไม่มีตำรวจคนใดกล้าทำแบบนั้นแน่
เมื่อถามว่าคู่กรณีที่มาร้องเรียนเป็นคนที่เคยมีปัญหากับทนายษิทรามาก่อน นายษิทรา กล่าวว่า ให้สังคมเป็นผู้ตัดสินว่าที่เขาออกมาต้องการอะไรกันแน่ ตนไม่อยากไปวิจารณ์ว่าเขามีปัญหาส่วนตัวกับตนหรือไม่ แต่ให้ดูว่าการกระทำที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ตนคิดว่าคนที่มีจิตใจที่เป็นกลาง น่าจะมองออกว่าเขาออกมาเพื่ออะไร
ต่อข้อซักถามว่าคู่กรณีระบุว่าไม่ได้หมายถึงทนายษิทรา แต่ที่ออกมาทนายออกมาคือการร้อนตัวนั้น ตนไม่ได้ร้อนตัว แต่มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ที่เขาระบุว่าตำรวจมีการวิ่งเต้นคดี อยู่ๆ ตำรวจจะไปวิ่งเต้นกันเองหรือไม่ ความหมายของเขาก็สื่อได้อยู่แล้วว่าทางทนาย หรือน.ส.อาเมเรีย เกี่ยวข้องด้วย ตนไม่อยากให้มีการทำลายกระบวนการยุติธรรม ให้ตำรวจหรืออัยการต้องเสียหาย เพราะข้าราชการอยู่ในเครื่องแบบจะไม่ออกมาตอบโต้อะไร แต่ตนมีเอกสารหลักฐานต่างๆ ก็สามารถออกมาชี้แจงได้
“ถ้าเกิดคนที่ติดตามผมจริงๆจะทราบว่าผมทำคดียาเสพติดไม่เยอะเลย ส่วนมากจะเป็นคดีชาวบ้าน ผมไม่ใช่คนที่ต้องออกข่าวทุกเรื่อง ผมจะเลือกออกข่าวเฉพาะคดีสำคัญและประชาชนจะได้ประโยชน์ ส่วนเรื่องเงินหลัก 10 ล้านบาท ที่มีการพูดถึงก็ไม่มีจริง คนที่พูดมีหลักฐานแค่ไหน ไม่ใช่ไปมโนกันเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมูลนิธิ เป็นการจ้างวานข้างนอก ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เงินระดับหลักล้านแน่นอน ซึ่งผมยินดีให้คณะกรรมการตรวจสอบได้เลย วันนี้ถึงต้องนำเอกสารเข้ามาชี้แจงความบริสุทธิ์ ส่วนเรื่องที่คู่กรณีจะนำเอกสารไปมอบให้อัยการเพื่อขอยื่นอุทธรณ์นั้น ผมต้องขอบอกว่าการอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์เป็นอำนาจของอัยการ แต่โดยปกติเขาอุทธรณ์อยู่แล้ว” นายษิทรา กล่าว
ต่อมาเวลา 17.00 น. พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจนกมล คำนวล รอง ผบก.อก.บช.น. และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายร้องทุกข์ ฝอ.1 บก.อก.บช.น. ได้ลงมารับเรื่องดังกล่าวไว้
พล.ต.ต.สมพงษ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีคดีของ น.ส.อาเมเรีย ข้อหาเสพยาเสพติด ภายหลังจากที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านทางสื่อมวลชน ทางทนายษิทรา จึงได้นำเอกสารที่ไปขอคัดคำสำเนาคำพิพากษาศาล และเอกสารที่อ้างว่าเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับทางคดี ทาง พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นหัวคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย หลังจากนี้จะเรียกทุกฝ่ายที่ยื่นเอกสารมาสอบปากคำเพิ่มเติม แต่ขอให้คณะกรรมทำงานมีการประชุมก่อนเพื่อแบ่งหน้าที่การทำงาน แต่ในวันนี้ก็จะทำการสอบปากคำไว้เป็นข้อมูลว่ามีวัตถุประสงค์อะไร โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ได้สอบปากคำเบื้องต้นพร้อมทั้งรับเอกสาร
“ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังรอคำพิพากษาฉบับจริง โดยให้คณะพนักงานสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงทำหนังสือร้องขอต่อศาลแล้ว และจะมีการประชุมติดตามความคืบหน้าทางคดีในอาทิตย์หน้า ส่วนคลิปที่ทางนายอัจฉริยะมามอบให้และทางทนายษิทรามอบให้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ทุกฝ่าย การดำเนินการดังกล่าวไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาเอาไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ต้องตรวจสอบให้ละเอียดเนื่องจากพี่น้องประชาชนให้ความสนใจ” รอง ผบช.น. กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายอัฉริยะร้องขอให้เปลี่ยน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จนั้น พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว พ.ต.อ.ทนงศิลป์ มณีโชติ ผกก.สน.สายไหม เพิ่งย้ายมา อย่างไรก็ตาม ต้องขอหารือกับทาง พล.ต.ต.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผบก.น.2 ก่อน เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ อะไรก็ตามที่เขาร้องมาเพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานในกรณีดังกล่าว โดยจะต้องตรวจสอบหมดตั้งแต่ชุดจับกุม ชุดพนักงานสอบสวนว่ามีความบกพร่องตรงไหน หากดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ศาลท่านพิจารณาในประเด็นใดก็จะต้องนำมาพิจารณาตรวจสอบประกอบกับข้อเท็จจริงดังกล่าว ขณะนี้เห็นเพียงเอกสารของทางนายอัฉริยะ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการตามระเบียบของข้าราชการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี