ถ้าไม่ได้นั่งคุยกับดร.พีรเดช ทองอำไพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ผมเองก็คงหลงทางเรื่องการวิจัยไปไม่รู้ไหนต่อไหนอย่างที่เคยเป็น เช่น
นึกเอาว่า เมื่อทำงานวิจัยแล้วก็ต้องเห็นเป็นรูปธรรม(Product)เสมอ เพราะมองงานวิจัยในเชิงสำเร็จรูปฉับพลัน คิดแต่ว่า เมื่อลงทุนไปแล้วต้องได้รับกลับในทันทีประมาณนั้น ไม่ใช่ลงเงินให้แล้วกลายเป็นว่า เก็บไว้บนหิ้งให้ฝุ่นเกาะ
นักการเมืองไทยมักปากหวาน บอกจะจัดสรรงบวิจัยให้เท่านั้นเท่านี้ โดยหวังผลว่า จะทำให้เกิด Product ตามมาอย่างรวดเร็วทันใจ
แต่งานวิจัยไม่ใช่แค่วัตถุดิบโยนใส่เครื่องจักร แล้วออกมาเป็นรูปร่างผลิตภัณฑ์ ใช้งานได้ทันที
ดร.พีรเดชบอกว่า ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ งานวิจัยใดๆในโลก มันมีวิวัฒนาการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กว่าจะสำเร็จต่อยอดกลายเป็นผลิตภัณฑ์ซักชิ้นหนึ่งต้องอาศัยงานวิจัยนับพันนับหมื่นเรื่อง ไม่มีที่ไหนอาศัยงานวิจัยชิ้นเดียวแล้วประสบความสำเร็จทันที
ตอนไปดูงานโทรศัพท์ไอโฟน 3 ประธานทรัพย์สินทางปัญญาของเกาหลีใต้ถามว่า รู้ไหมว่ากว่าเครื่องนี้สำเร็จต้องใช้ทรัพย์สินทางปัญญา(งานวิจัย)ไปกี่เรื่อง ดร.พีรเดชจำได้ว่า ตัวเองตอบไปว่า 2,000 เรื่อง ประธานของเกาหลีบอกยิ้มๆว่า 80,000 เรื่อง เป็นความจริงที่น่าช็อก
มันแทบจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันคือความจริง และจริงยิ่งกว่านั้นคือทุกประเทศพยายามลงทุนสร้างงานวิจัยไว้ คล้ายๆเป็นสต็อกความรู้ เป็นการปูพื้นฐานเพื่อก้าวไปได้เร็วขึ้นในชั้นหลัง หรือการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์นั่นเอง
ผมมานั่งพิจารณาแล้วก็ยอมรับโดยดุษณี ยกตัวอย่างไอโฟนก็ดี รถยนต์ก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องใช้งานวิจัยนับหมื่นนับแสนชิ้น เพราะส่วนประกอบแต่ละชิ้นต้องอาศัยงานวิจัยไม่รู้กี่ชิ้น นั่นก็หมายความว่า ที่ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี จีน สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เยี่ยมๆได้นั้น เขาต้องลงทุนงานวิจัยกันบานตะเกียง ทั้งงบประมาณ และระยะเวลา เพราะกว่าจะต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้ซักตัวต้องใช้เวลานานเป็น 10 ปี
ดร.พีรเดชให้ความรู้ต่อไปว่า ญี่ปุ่นจดทะเบียนสิทธิบัตร(งานวิจัย)1.8 แสนเรื่อง นับว่า มหาศาลทีเดียว หากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้แค่ 10% ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
มาถึงจุดนี้แล้ว ผมถึงบางอ้อว่า ตราบใดที่ประเทศไทยไม่เห็นความสำคัญ และให้ความสำคัญกับงานวิจัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วยความเข้าใจ ตราบนั้นก็ยากที่เราจะพัฒนาตัวเองให้มีความเข้มแข็ง มีเงินมีทอง และร่ำรวยได้
เอาง่ายๆทุกวันนี้ ผู้ส่งออกยางพาราไทยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมส่งออกหรือเรียกว่า เงินเซส(Cess) โดยตั้งธงว่า เงินก้อนนี้จะนำมาช่วยชาวสวนยาง โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนา แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ชาวสวนยางไทยก็ยังคงขายยางในรูปวัตถุดิบ 80-90 % แล้วญี่ปุ่นหรือจีนที่ซื้อไปก็นำไปผลิตเป็นยางรถยนต์ ราคาแพง ส่งกลับมาขายประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง
ที่น่าประหลาด กว่า 10% ที่เป็นผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดได้มากเท่ากับการขายในรูปวัตถุดิบ 80-90% ประเทศไทยจะไปทางไหนหนอ และจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
นี่คือประเทศไทยกับความคิดอ่านด้านการวิจัยที่เดินสวนทางกันตลอดมา
พอใจ สะพรั่งเนตร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี