คนโบราณเขาชอบพูดกันว่า “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย” ทุกวันนี้ ก็ยังเป็นความจริงอยู่ โดยเฉพาะคนที่มักจะละเลยถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ตัว เคยชินอยู่กับมันจนคิดว่า มันไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับตนเอง ทำให้ยิ่งเกิดความประมาทมากยิ่งขึ้น
มีข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) ระบุว่า ในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา การเสียชีวิตโดยมากไม่ได้เกิดขึ้นบนถนนทางหลวง ทางด่วนหรือทางหลวงชนบท หากแต่เกิดบนถนนในเขตชุมชนจากการเดินทางใกล้ๆ ในถนนสายสั้นๆ ซึ่งหลายคนมักมองข้ามและคิดว่า “ใกล้แค่นี้ ไม่เป็นไร”
ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การจัดการความปลอดภัยทางถนนของชุมชน โดยชุมชนเพื่อชุมชน” นำชุดความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนมาถ่ายทอดให้กับผู้นำชุมชนท้องถิ่นเพื่อนำไปใช้ในการจัดการความปลอดภัยทางถนนในชุมชนของตนเองทำให้ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ควรรู้ควรทราบหลายประการ ดังต่อไปนี้...
รศ.ดร.วิชุดา เสถียรนาม คณะวิศกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ความรู้ก่อนเข้าสู่การอบรมเชิงปฏิบัติการว่า มีผลสำรวจจากงานวิจัย AUSTROADS 2002 ของประเทศออสเตรเลีย สรุป 3 ปัจจัยขับเคลื่อนอุบัติเหตุ ได้แก่ 1.คน 2.ถนนและสิ่งแวดล้อม และ 3.รถ ตามลำดับ ซึ่งหากมองภาพรวมแล้วสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขก็คือ “คน” โดยทั่วไปจะใช้วิธีการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้เห็นความสำคัญของความปลอดภัยทางถนนนำไปสู่การเลิกนิสัยประมาทหรือขับรถเร็ว ไปจนถึงการออกกฎหมายบังคับใช้ แต่ทว่าจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า กฎหมายนั้นมีความเข้มแข็งมากพอที่จะไม่ทำให้คนไม่ฝ่าฝืนข้อบังคับต่างๆได้ ซึ่งค่อนข้างใช้ไม่ได้ผลในบ้านเรา แต่ปัจจัยที่สามารถดำเนินการแก้ไขได้เลยและเห็นผล คือ “ถนนและ
สิ่งแวดล้อม” หรือ “จุดเสี่ยง”
เมื่อทราบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุแล้ว จึงชวนผู้ร่วมอบรมฯ เข้าสู่ขั้นตอน “การจัดการจุดเสี่ยง” ซึ่งประกอบด้วย 1.ค้นหา 2.วิเคราะห์3.ปรับปรุง และ 4.ประเมินผล ติดตามผล และเฝ้าระวัง โดยมุ่งเป้าไปที่การลดจำนวนและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนไปพร้อมๆ กัน
รศ.ดร.วิชุดา อธิบายเสริมว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ให้ตรงจุดและตอบโจทย์มากที่สุด ต้องอาศัยการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ทำให้เกิดการตระหนักและยอมรับปัญหาเพื่อนำไปสู่การหาทางออกร่วมกัน โดยทำปัญหาให้เห็นชัดและกำจัดปัญหานั้น ซึ่งมีทางเลือกในการจัดการอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับจุดเสี่ยงของแต่ละชุมชน เช่น ทางเลือกในการจัดการปัญหาการใช้ความเร็วในชุมชน ทางเลือกในการจัดการจุดเสี่ยงทางข้ามในชุมชนทางเลือกในการจัดการจุดเสี่ยงหน้าตลาดและหน้าโรงเรียน เป็นต้น
นพ.ธนพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) อธิบายถึงทางเลือกในการจัดการปัญหาการใช้ความเร็วในชุมชนว่า ปัญหาการใช้ความเร็วบนถนนสายรองที่ตัดผ่านเขตชุมชนเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับถนนสายหลักหรือถนนทางหลวงซึ่งโอกาสของการสูญเสียจะเพิ่มขึ้นตามอัตราความเร็วในขณะขับรถ โดยที่อัตราความเร็วเท่ากับ 30-40 กม./ชม. มีโอกาสเสียชีวิตถึงร้อยละ 50 และที่อัตราความเร็วมากกว่า 50 กม./ชม. มีโอกาสเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 85 ในขณะที่อัตราความเร็วขณะขับรถในเขตชุมชน กฎหมายกำหนดไว้ที่80 กม./ชม. สะท้อนให้เห็นว่ามีความเสี่ยงสูงมากแค่ไหน
“สิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้นอกจากการส่งเสริมในเชิงความรู้เรื่องการจัดการความปลอดภัยทางถนนด้วยตนเองแล้ว “ทัศนคติ” ความเชื่อเดิมที่ว่าถนนที่มีความกว้างคือถนนที่มีความเจริญ ควรปรับความคิดใหม่โดยยึดความปลอดภัยเป็นตัวตั้ง สร้างฐานความคิดเรื่องความปลอดภัยที่ถูกต้องและไม่ตามกระแสนิยม อีกความเชื่อหนึ่งคือ “ขับเร็วถึงเร็ว” เนื่องจากมีข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่า ความแตกต่างของเวลาในการเดินทางของรถที่แล่นในอัตราความเร็ว 120 กม./ชม. จะถึงเร็วกว่ารถที่แล่นด้วยอัตราความเร็ว 90 กม./ชม. ในระยะทาง 30 กม. เพียง 5 นาทีเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่ควรทำเวลาบนท้องถนน แต่หากอยากถึงเร็วก็เพียงแค่ออกก่อนเวลาเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”ผู้จัดการ ศวปถ. ทิ้งท้าย
ต้องจำไว้ให้ดีว่า “ความสูญเสียที่ไม่สิ้นสุดไม่ได้เกิดจากความโชคร้าย แต่เกิดจากการที่ไม่ได้ลงมือแก้ไขอะไรเลย”ฉะนั้นการแก้ไขปัญหานี้ จึงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่ต้องร่วมกันลงมือทำด้วย
จำกันเอาไว้ให้ฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจเลยก็แล้วกันว่า ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
ปานมณี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี