ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ความตาย” เป็น “สภาวะสุดท้าย” ของทุกชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น การเรียนรู้ “ความตาย” จึงเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมากระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในสังคมไทย
ได้รับรู้อย่างนี้ เกิดความรู้สึกเหมือน กำลังนั่งดูหนังผีที่น่ากลัว น่าหวาดผวา แต่หากอ่านต่อไปจะพบว่า ความรู้สึกที่เรากำลังเกิดขึ้นในขณะนี้มันไม่เป็นอย่างที่คิดเลย ลองอ่านต่อไปนะคะ
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ เครือข่ายพุทธิกา และภาคีด้านสุขภาพ จัดกิจกรรมเวทีเสวนา “เผชิญความตายอย่างสงบ: เรียนรู้ผ่านการจากไปของสุภาพร พงศ์พฤกษ์”
สุรภี ชูตระกูล เพื่อนผู้ร่วมรับรู้การตัดสินใจและอยู่ร่วมในวาระสุดท้ายของ สุภาพร พงศ์พฤกษ์ กล่าวว่า สุภาพร พบว่าตนเป็นมะเร็งเต้านมเมื่อ 11 ปีก่อน นับแต่นั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป แต่แทนที่เธอจะกลายเป็นคนทุกข์ หดหู่กับชีวิต และรอวันตายอย่างผู้ป่วยมะเร็งจำนวนไม่น้อย เธอกลับหันมาใส่ใจที่จะฟื้นฟูชีวิตให้สมดุล สร้างสุขภาวะทางกายควบคู่กับการบ่มเพาะสันติสุขภายใน ด้วยการทำสมาธิภาวนา เล่นโยคะ และทำอาหารสุขภาพกินเอง
“เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ สุภาพรเคยกล่าวว่า ก้อนมะเร็งหายไปหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอยังสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติเหมือนทุกวัน”
การจากไปของ สุภาพร อาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของผู้ป่วยมะเร็งอีกหลายคน แต่สำหรับเธอ นั่นไม่ใช่บทเรียนสำคัญที่พึงสรุปจากชะตากรรมของเธอ สิ่งสำคัญกว่านั้นที่ควรเป็นบทเรียนสำหรับทุกคนก็คือ ถึงที่สุดแล้วจะจากไปเพราะเหตุใดก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า มีชีวิตอยู่อย่างไรและพร้อมเผชิญความตายอย่างมีสติแค่ไหน คือบทเรียนสำคัญที่สุดจากชีวิตช่วงสุดท้าย
ดร.จอห์น แมคคอนแนล นักจิตวิทยาแนวพุทธและอาสาสมัครช่วยเหลือด้านจิตใจของผู้ป่วยระยะสุดท้าย และเพื่อนผู้ร่วมดูแลคุณสุภาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งของการเผชิญความตายอย่างสงบคือ “ความกลัว” ความกลัวหรือความกังวลมักเกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะเรามักคิดซ้ำคิดซ้อนกับเรื่องเดิมๆ
สำหรับกรณีของสุภาพร ในช่วงเวลา 7 เดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต แผลที่หน้าอกเริ่มมีปัญหาค่อนข้างมาก ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่มักจะกลัว แต่สำหรับสุภาพรไม่กลัวเลย ซึ่งเธอเป็นอย่างนี้ได้ เพราะเธอได้ฝึกฝนให้มีธรรมะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด เช่น การใช้หลักอริยสัจ 4 รู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ ยอมรับในทุกข์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ช่วงเวลาที่ใกล้ถึงวาระสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่ธรรมดาและเตรียมตัวคืนสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด
“การฝึกจิตอยู่เสมอจะทำให้เราเตรียมพร้อมตัวเองได้ดี ส่วนด้านการเยียวยากับการรักษา มีความแตกต่างกัน การแพทย์จะเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นเหมือนการซ่อมร่างกาย แต่การเยียวยาด้านจิตใจเป็นเหมือนการเยียวยาทางด้านจิตวิญญาณ” นักจิตวิทยาแนวพุทธ กล่าว
ด้วยเหตุนี้ ระบบบริการสุขภาพซึ่งเป็นระบบที่มีความเกี่ยวพันกับผู้คนยามเจ็บป่วยจนถึงวาระสุดท้าย ควรสร้างการเรียนรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้เข้าใจในเรื่องการตายดีตลอดจนการใช้ข้อมูลพื้นฐานในทุกมิติของผู้ป่วยในการร่วมวางแผนกับครอบครัวด้วย
ในงานวันนั้น ยังมีกิจกรรมที่น่ากล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ กิจกรรม “พินัยกรรมชีวิต” เป็นการทบทวนความคิด ความรู้สึก และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่ม โดยให้ผู้เข้าร่วมตอบคำถามว่า หลังจากตายแล้วต้องการให้ใครดำเนินสิ่งต่างๆ ต่อไป
นุจรี เดชสุวรรณ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม วัย 56 ปี กล่าวว่าถ้าทุกคนยอมรับได้ว่า ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเตรียมตัว เตรียมใจ เสียก่อน เพื่อให้ฉากสุดท้ายของชีวิตปิดตัวลงอย่างงดงาม จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม
“การเขียนพินัยกรรมชีวิต จะทำให้เราตั้งอยู่บนความไม่ประมาท เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทำให้เราได้คิดถึงเรื่องที่เราไม่เคยคิดมาก่อน คำถามเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราควรคิดและเตรียมตัว เสมือนเป็นพินัยกรรมที่สำคัญสำหรับคนใกล้ชิดที่ต้องดูแลจัดการเรื่องต่างๆ หลังจากเราเสียชีวิตแล้ว นอกจากนี้การทบทวนยังทำให้เรามีสติและใช้ชีวิตในปัจจุบันให้มีคุณภาพมากขึ้น”
ดังนั้น การเตรียมตัวเผชิญความตายที่ดีที่สุดก็คือ“การใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง” เพราะมันจะทำให้การตายของเราเป็นการลาจากที่สมบูรณ์ ไม่ได้สร้างความทุกข์โสกให้กับผู้ใดเป็นการอำลาชีวิตที่มีสติอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการลาจากที่มีความสุขมากที่สุด
ปานมณี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี