นักวิจัยไทย-เทศแนะลงทุนปฐมวัย 2องค์กรหนุนรร.ประถมดีเด่น
วันจันทร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557, 15.32 น.
Tag :
17 มี.ค. 57 ณ ชั้น 13 ตึกไอบีเอ็ม สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดแถลงข่าวเปิดโครงการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อสุขภาวะเด็ก และเยาวชน โดยคัดเลือกโรงเรียนระดับประถมศึกษาในทุกสังกัด ที่เคยทำผลงานดีเด่นในโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ครั้งที่ 1/2554 ได้ทำงานต่อยอด โดยเพิ่มประเด็นสุขภาวะที่ดีให้โรงเรียนเข้มแข็งยิ่งขึ้น
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นโยบายในการปฏิรูปการศึกษาในปัจจุบันเป็นการลงทุนที่สวนทางกับความเป็นจริง โดยงานวิจัยของดร.ไกรยส ภัทราวาท สสค.เกี่ยวกับรายจ่ายด้านการศึกษาของประเทศไทย พบว่า จากการศึกษาในระดับประถมศึกษา รวมทั้งโรงเรียนขยายโอกาสในปี 2553 พบว่า งบประมาณการศึกษาต่อหัวที่รัฐบาลลงทุนต่อเด็กระดับมัธยมศึกษา และอาชีวศึกษานั้นสูงกว่าการลงทุนในระดับปฐมวัย โดยลงทุนระดับปฐมวัยเพียง 23,282 บาท ขณะที่ลงทุนในระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาจำนวน 26,332 บาทและ 24,933 บาทตามลำดับ ทั้งที่การลงทุนในระดับปฐมวัยนั้นจะได้กำไรคืนกลับสูงถึง 7 เท่า คือ หากลงทุน 1 บาท จะได้เงินกลับคืนถึง 7 บาท ฉะนั้นการลงทุนที่จะสร้างรากฐาน ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจึงเป็นการลงทุนที่คุ้ม ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องในระดับประถมศึกษา ดังนั้นต้องเปลี่ยนวิธีการคิด เพราะสมองเด็กจะเติบโตสมบูรณ์ทั้ง IQ และ EQ ในระดับปฐมวัยสูงถึง 80% หากขาดเงินอุดหนุนการเตรียมพร้อมเด็กในเรื่องการอ่านการเขียน เรื่องคุณธรรมและคุณลักษณะที่ดีนั้นก็จะไม่สมบูรณ์
“สังคมเสื่อม การเมืองรุนแรง เน้นวัตถุนิยม ครอบครัวตาย ศีลธรรมจางหาย กระทรวงศึกษาธิการบ้า o-net” เป็นนิยามที่ตรงกับสภาวการณ์สังคมขณะนี้ ฉะนั้น การจัดการศึกษาต้องเลิกระบบสอบ ที่มุ่งแข่งขันเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ คะแนน 0NET คะแนน PISA สูงๆ แต่ต้องเป็นการจัดการศึกษาที่ให้เด็กมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้ โดยมองโจทก์ใกล้ตัวเด็ก และต้องปลูกฝังเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ตั้งแต่ปฐมวัย โดยไม่ต้องรอรัฐบาลกลาง เพราะที่ผ่านมารัฐลงทุนไปที่ระดับอุดมศึกษา ถือเป็นการลงทุนที่ผิดที่ ผิดเวลา และไม่ตรงเป้าหมาย ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็วคือการลงทุนทางการศึกษากับเด็กปฐมวัยใน 3 ระบบ 1)การศึกษาในระบบ ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ด้อยโอกาส 2)โรงเรียนพ่อ แม่ โดยต้องสอนพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวัตถุ หรือพ่อแม่ที่ปล่อยลูกไว้เป็นภาระปู่ย่า ตายาย และ3) โรงเรียนชุมชน ที่มีพื้นที่เสี่ยง มีอบายมุข ดังนั้น การลงทุนในช่วงปฐมวัยสามารถประกันอนาคตทางปัญญา และสุขภาวะแจ่มใสให้เด็กได้ ”
ดร.อุบล เล่นวารี อดีตที่ปรึกษาสพฐ. และในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ครั้งที่ 1/2554 ซึ่งสสค.ร่วมกับมูลนิธิร่มฉัตร ดำเนินการใน 3 เรื่องสำคัญคือ 1) การส่งเสริมสมรรถนะการอ่าน 2) การสนุกกับการเรียนรู้ และ 3) การสร้างเสริมคุณลักษณะที่ดี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษา เพราะหากเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ต่อยอดไปเรื่องอื่นๆได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องปลูกฝังในระดับประถมศึกษา คือ ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ คุณลักษณะที่ดีที่ควรจะเกิดตั้งแต่ระดับเด็ก เพื่อจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เมื่อสสค.มีการต่อยอดร่วมกับสสส. จึงเห็นว่าเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมและถูกต้องที่จะสร้างคนให้ที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อมีการต่อยอดเพิ่มประเด็นสุขภาวะเข้าไป เพราะเห็นว่า หากเราสามารถสร้างเด็กประถมทั่วประเทศให้มีสุขภาวะที่ดีสมบูรณ์ ก็จะเป็นคนที่เติบโตขึ้นมามีสุขภาพแข็งแรง จิตใจดีงาม จึงเป็นการมองการไกลในการสร้างอนาคตที่ดีของประเทศไทย
ด้านนางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ภายใต้หลักการที่ว่าการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสุขภาวะ โดยเฉพาะของเด็กและเยาวชน ดังนั้นโครงการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อสุขภาวะเด็กและเยาวชน ที่ลงไปที่โรงเรียนโดยเน้นนวัตกรรมการเรียนรู้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นภารกิจของ สสส.อยู่แล้ว แต่ขอเสริมให้ขัดเจนว่า เมื่อพูดถึงสุขภาวะในโรงเรียนเราไม่ได้พูดถึงตัวโรงเรียน แต่หมายถึงตัวนักเรียนและบุคลากรต่างๆ ที่อยู่ในโรงเรียน ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชนและสภาพแวดล้อมรอบๆ โรงเรียน ซึ่งมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง คือ 1) การบริหารจัดการภายในโรงเรียน 2) สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะของเด็กและครูหรือไม่ 3) การจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนา เพราะความยั่งยืนไม่ได้เกิดจากกิจกรรมแต่เกิดจากการปลูกฝังเข้าไปในการเรียนการสอน และ 4) การมีส่วนร่วมของทุกคนที่อยู่ในโรงเรียน รวมไปถึงครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครองของเด็กด้วยที่จะมีสุขภาวะที่ดี อีกทั้ง ประเด็นสำคัญที่ทำให้โครงการ กิจกรรมดีๆ ที่ได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้วระดับหนึ่งแต่ไปไม่ถึงเป้าหมายสูงสุด เกิดจากระยะเวลาดำเนินการ 1 ปีการศึกษาหรือประเภทโครงการระยะสั้น ยังมีความต้องการในแง่ของการพัฒนาอยู่ เพื่อให้เห็นการทำงานที่เกิดระบบต่อเนื่องยั่งยืน
“สอดคล้องกับงานวิจัยของมูลนิธิโรเบิร์ต วู้ด จอห์นสันที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างการศึกษาและสุขภาพที่ดีว่า ร้อยละ 77.2 ของผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาต่ำกว่า ม.6 จะมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนัก และมีเพียงร้อยละ 29.8 ที่ระบุว่า เด็กที่จบวิทยาลัยมีสุขภาพดี โดยงานวิจัยได้ระบุถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวกับปัจจัยเกี่ยวข้อง 3 ประการว่า การศึกษาที่ดีจะนำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสมในการรักษาสุขภาพ การมีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่โอกาสในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น มีประกันสุขภาพ มีรายได้สูง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการใช้ชีวิต และการศึกษาจะมีผลต่อภาวะการรับรู้ต่างๆ โดยจะมีการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จากพ่อแม่สู่ลูกอีกด้วย ดังนั้น แม้ว่ารัฐบาล หรือนโยบายจะเปลี่ยนไป สิ่งสำคัญที่ควรคงอยู่คือการทำงานกับพื้นที่จากล่างขึ้นมา โดยครูคือคนสำคัญที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อน หากทำได้ 30-40% ในแต่ละจังหวัดก็จะเกิดแรงกระเพื่อม ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่สะท้อนภาพได้ชัดขึ้น”
นายสมพงษ์ แสนสำโรง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแม่อ่างขาง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า อดีตตนเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห่างหลวง ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับประถมศึกษา ครั้งที่ 1 โดยการสร้างนวัตกรรม “มัลติพอยท์” คือ การใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต่อกับเมาส์ 40 อัน เนื่องจากโรงเรียนอยู่บนดอยไม่มีไฟฟ้าต้องใช้โซล่าเซลแทน ส่งผลให้เด็กนักเรียนเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี เมื่อ ร.ร.นำนวัตกรรมดังกล่าวมาใช้โดยการนำสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตร โดยเน้นเรื่องของการส่งเสริมการอ่านภาษาไทยให้ชัดเจนถูกต้องเป็นหลัก เพราะเป็นเด็กชนเผ่า มาจัดทำเป็นเป็นโปรแกรมพาวเวอร์พ้อยท์ ให้เด็กได้ร่วมตอบคำถาม ได้ลากเส้น เติมคำ ซึ่งสามารถทดสอบเด็กได้เป็นรายบุคคล ทั้งนี้เมื่อรูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไป การตอบสนองของผู้เรียน การอ่าน การเขียน การออกเสียงชัดเจนทำให้เด็กมีความสุข สนุกในการเรียนรู้ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และเมื่อตนย้ายไปเป็น ผอ.ร.ร.บ้านแม่อ่างขางก็นำไปใช้ด้วยเช่นกัน