รายงานพิเศษ : เปิดตัวฝ้ายพันธุ์ใหม่ “ตากฟ้า 86-5”
ให้เส้นใยสีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ฝ้ายเป็นพืชเส้นใยที่มีบทบาทสำคัญ ในการใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอภายในประเทศถึงแม้ว่าปัจจุบันสิ่งทอจากเส้นใยประดิษฐ์จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่สิ่งทอจากฝ้ายซึ่งเป็นเส้นใยธรรมชาติก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดเช่นเดิม และยังขยายไปสู่หัตถกรรมสิ่งทอพื้นบ้าน ที่ทำรายได้ให้แก่ชุมชนในรูปของหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แต่พื้นที่ปลูกฝ้ายของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหนึ่งเนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชไม่คุ้มกับการลงทุน และเกษตรกรปลูกเพื่อใช้ในครัวเรือนเท่านั้น นอกจากนี้การที่รัฐหันไปสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกพืชทดแทนพลังงาน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พื้นที่ปลูกฝ้ายลดลง ทำให้ต้องนำเข้าฝ้ายจากต่างประเทศกว่าร้อยละ 95 ของความต้องการใช้ทั้งหมดภายในประเทศ สำหรับผลผลิตฝ้ายของประเทศในปัจจุบันนี้ เป็นเส้นใยยาวจากพันธุ์ตากฟ้า 2 และตากฟ้า 84-4 ที่ผ่านการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรตั้งแต่ปี 2545 และปี 2555 ตามลำดับ ตลอดจนมีการผลิตฝ้ายเส้นใยสั้นพันธุ์พื้นเมืองในบางพื้นที่ของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สิ่งที่จะจูงใจให้เกษตรกรหันกลับมาปลูกฝ้าย จึงควรมุ่งไปที่การพัฒนาพันธุ์ฝ้ายเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิต และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ หรือหัตถกรรมสิ่งทอที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยงาม และมีความทันสมัยดึงดูดใจผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาพันธุ์ฝ้ายของไทยให้มีคุณภาพเส้นใยที่ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่สีตามธรรมชาติของเส้นใย สำหรับเป็นทางเลือกใหม่ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตฝ้ายให้แก่เกษตรกร และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตลอดจนยกระดับหัตถกรรมสิ่งทอของไทยให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น กรมวิชาการเกษตรจึงได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ พัฒนาพันธุ์ฝ้ายให้เส้นใยมีสีธรรมชาติ (natural color) เช่น สีน้ำตาล หรือสีเขียว
เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าผลผลิต และศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ผลิต ตลอดจนเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดมลภาวะน้ำเสียจากการฟอกย้อม รวมถึงการแพ้สารเคมีที่ใช้ในการฟอกย้อม เพื่อเป็นการยกระดับและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สิ่งทอของไทย และเพื่อให้ได้พันธุ์ฝ้ายที่มีเส้นใยสีเขียว มีคุณภาพเส้นใยที่ดี และต้านทานต่อโรคใบหงิก
“การส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรนำเส้นใยฝ้ายพันธุ์ตากฟ้าต่างๆที่กรมฯได้ให้ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร ได้ทำการปรับปรุงพันธุ์เพื่อแนะนำให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม ได้ผลผลิตดีและพืชทดแทนพลังงาน มีคุณภาพ นำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอพื้นเมือง จะทำให้สามารถเปิดตลาด เส้นใยใหม่ไปสู่อุตสาหกรรม สิ่งทอพื้นเมือง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มมูลค่าให้กับประชาชนในระดับรากหญ้าแล้ว ยังช่วยลดการพึ่งพาโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งทอขณะเดียวกันก็เป็นการสนับสนุนนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ด้วย” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ทางด้าน ดร.ปริญญา สีบุญเรือง นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ได้กล่าวถึงการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์ฝ้ายและการเพิ่มมูลค่าฝ้ายว่า ล่าสุด ได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาใหม่และตั้งชื่อว่า พันธุ์ฝ้ายตากฟ้า 86-5 โดยในปี 2543 ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ได้นำฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 (TF2) ซึ่งมีลักษณะทรงต้นโปร่ง และมีคุณภาพเส้นใยที่ดี จัดเป็นฝ้ายเส้นใยยาว อีกทั้งยังต้านทานต่อโรคใบหงิก ซึ่งเป็นโรคที่สำคัญที่ทำให้ผลผลิตฝ้ายเสียหายอย่างมาก ใช้เป็นพันธุ์แม่ ไปผสมข้ามกับพันธุ์ Green Cotton (GC) ที่ใช้เป็นพันธุ์พ่อ ซึ่งเป็นพันธุ์ฝ้ายที่มีเส้นใยสีเขียว แต่อ่อนแอต่อโรคใบหงิก แล้วทำการผสมกลับไปยังตากฟ้า 2 จำนวน 4 ชั่ว ระหว่างปี 2544-2545 โดยในการผสมกลับแต่ละครั้ง เก็บเมล็ดรวมกันจากต้นที่มีลักษณะคล้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 แต่ให้เส้นใยสีเขียว จากนั้นทำการปลูกลูกผสมกลับดังกล่าว (BC4F1) ในปี 2546 แล้วทำการเก็บเมล็ดรวมกันจากต้นที่มีลักษณะคล้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 แต่ให้เส้นใยสีเขียว นำไปปลูกเป็นชั่วที่ 2 หลังการผสมกลับ (BC4F2)ในปี 2547 โดยมีการปลูกเชื้อทำให้ต้นฝ้ายเป็นโรคใบหงิกใน BC4F2 เก็บเมล็ดแยกกันเป็นรายต้นเฉพาะต้นที่ต้านทานโรคใบหงิก และมีลักษณะคล้ายพันธุ์ตากฟ้า 2 แต่ให้เส้นใยสีเขียว เพื่อนำไปปลูกคัดเลือกแบบต้นต่อแถวในปี 2548 และทำการคัดเลือกในปี 2549-2550 จนได้แถวหรือสายพันธุ์ที่มีความสม่ำเสมอดี จำนวน 20 สายพันธุ์
จากนั้นทำการประเมินผลผลิตและลักษณะต่างๆ ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตรในระหว่างปี 2551-2554ซึ่งพบว่า ฝ้ายสายพันธุ์ TF25/GC-B-5-4-B-B ให้ผลผลิตใกล้เคียงกับพันธุ์ตากฟ้า 2 มีคุณภาพเส้นใยที่ดี และมีความต้านทานต่อโรคใบหงิกในระดับเดียวกับพันธุ์ตากฟ้า 2 แต่มีลักษณะที่เด่นกว่า คือมีเส้นใยเป็นสีเขียว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการฟอกย้อม ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคที่หันมานิยมใช้เส้นใยฝ้ายสีตามธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ลักษณะเด่นของฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 86 – 5 นี้ มีเส้นใยเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ (GREYED GREEN : 195B) และมีคุณภาพเส้นใยดีระดับเดียวกับพันธุ์ตากฟ้า 2 โดยมีความยาวเส้นใย 1.26 นิ้ว ความเหนียว 31.56 กรัม/เท็กซ์ ความละเอียดอ่อน 2.54 และความสม่ำเสมอ 84.22 ต้านทานต่อโรคใบหงิกในสภาพการปลูกเชื้อได้ดี ในระดับเดียวกับพันธุ์ตากฟ้า 2 และสามารถปลูกในได้พื้นที่ และแหล่งผลิตฝ้ายของประเทศไทยทั่วไป”
แต่มีข้อควรระวังคือหลังการปลูก เมื่อผลผลิตออก ควรทำการเก็บเกี่ยวทุก ๆ 5-10 วัน เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพด้านสีของเส้นใยและไม่ควรปลูกในพื้นที่เกิน 10 ไร่ เพราะอาจทำให้การดูแลรักษาและการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูไม่ทั่วถึงได้
ฝ้ายในวันนี้อาจเป็นพืชที่ดูแลรักษายากเกินไปเมื่อปลูกในพื้นที่มากกว่า 10 ไร่ และให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับพืชไร่ชนิดอื่น แต่ในอนาคตการปลูกฝ้ายแปลงเล็กๆ เพียงไม่กี่ไร่ของกลุ่มผู้ผลิตหัตถกรรมสิ่งทอ แต่ละกลุ่ม สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าฝ้ายทอมือสีธรรมชาติ อันมีลวดลายสดสวย งดงาม ที่มีสีเขียวของเส้นใยฝ้ายจากธรรมชาติ สอดสลับกับสีน้ำตาลธรรมชาติ น่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกฝ้ายกันอีกครั้งด้วยจุดประสงค์และมุมมองที่เปลี่ยนไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี