ดูเหมือน ช่วง 5-10 ปีมานี้คนไทยจะได้รู้จักกับ “ภัยพิบัติ” มากขึ้น เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมและภาวะการณ์ธรรมชาติของโลกที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้หลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติใหญ่ๆในหลายรูปแบบ แม้บางประเทศยังไม่เคยประสบมาก่อนก็ตาม แต่ 20-30 ปี ที่ผ่านมาจะเกิดปรากฏการณ์ ฝนตกหนักน้ำท่วมใหญ่ พายุหิมะถล่ม แผ่นดินไหวรุนแรง สึนามิ ภูเขาไฟปะทุ รวมทั้งไฟไหม้วงกว้าง เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทัรพย์สินมากมายมหาศาล ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจใหญ่หลวงทีเดียว โดยเฉพาะเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งระบบบริหารจัดการยังไม่พร้อม แถมยังขาดการประสานงาน และด้วยความรุนแรงที่นับวันทวีมากขึ้น จึงจำเป็นที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมรองรับเหตุภัยพิบัติเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
เรื่องนี้ทางกรุงเทพมหานครโดยสำนักการจราจรและขนส่ง ได้มีแนวคิดเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติด้วยการวางแผนดำเนินการบริหารจัดการไว้อย่างทันการณ์ มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเตรียมการทางด้านเส้นทางคมนาคมขนส่งไว้รัดกุม เพื่อให้เป็นเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงหัวใจสำคัญของประเทศมีประสิทธิภาพที่สุด กระทบน้อยที่สุดมีการจัดโครงการกำหนดแนวทางเส้นทางคมนาคมเพื่อการเดินทางในช่วงภาวะภัยพิบัติเกิดขึ้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีการศึกษา รวบรวมประสบการณ์ พร้อมระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน บูรณาการความร่วมมือสร้างกลไกการทำงานร่วมกันเป็นภาคีเครือข่ายเชื่อมโยงและเกื้อกูลกันอย่างเป็นระบบ และเป็นรูปธรรม ทั้งเส้นทางหลัก เส้นทางรอง เส้นทางฉุกเฉิน จุดเชื่อมต่อของประเภทการเดินทางที่แตกต่าง และการบริหารด้านพื้นที่หรือเส้นทางรองรับผู้ประสบภัย เป้าหมายสูงสุดเพื่อการสัญจรที่ปลอดภัย ช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินยามเกิดภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานหลักของ กทม. ทำงานประสานกันใกล้ชิด ทั้ง สจส. สนย. สนน.
นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครได้จัดงานเสวนารับฟังความคิดเห็นในหัวข้อ “ภัยพิบัติ...ความร่วมมือที่ทุกคนจัดการได้” -ขึ้นภายใต้โครงการบริหารจัดการเส้นทางคมนาคม การเดินทางในภาวะภัยพิบัติ ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล จุดประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือ และระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้แทนหน่วยงานราชการ องค์กรภาคเอกชน ประชาสังคม กลุ่มจิตอาสา ผู้นำความคิด ตลอดจนสื่อมวลชน ร่วมเตรียมความพร้อม กำหนดแนวทางบริหารจัดการเส้นทางคมนาคมสำหรับรองรับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดในอนาคต
ที่ผ่านมาได้จัดเสวนารวม 6 ครั้ง แต่ละครั้งนำเสนอกรอบแนวคิดจัดการเส้นทางคมนาคมในภาวะภัยพิบัติ โดย ดร.เอกชัย ศิริกิจพาณิชย์กูล ผู้เชี่ยวชาญด้านการจราจรและขนส่ง พร้อมถอดบทเรียนจากเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในวงกว้าง เช่น มหาอุทกภัยในปี 2554 หรือแม้กระทั้งเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะแพรกษา มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมองของตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ฝ่ายนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ที่มีหลักสูตรศึกษาแผนภัยพิบัติ 5 ด้าน วิเคราะห์จากสถานการณ์สิ่งแวดล้อมปัจจุบัน อันจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาเมือง
ในการประสานงานกรุงเทพมหานครได้กำหนดยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการเตรียความพร้อมทั้งกำลังและอุปกรณ์ครบครัน รวมถึงสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรในฐานะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุภัยพิบัติมาสะท้อนปัญหาเป็นข้อมูลไว้สำหรับการแก้ไข
“การเสวนาครั้งนี้มีประโยชน์อย่างมาก กทม.ได้นำผลการระดมความเห็นไปจัดทำแผนบริหารจัดการบริหารเส้นทางคมนาคม เพื่อการเดินทางในช่วงภาวะภัยพิบัติเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีประสิทธิภาพ พร้อมจัดทำหนังสือคู่มือซึ่งนับเป็นร่างแรกที่ทำขึ้นเป็นกรอบแจกหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง สร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้แทนภาคส่วน ให้สามารถนำแนวทางที่กำหนดไปประยุกต์ใช้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปยังสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือเสนอความเห็นได้ที่www.bma-disastermanagement.com หรือwww.facebook.com/เดินทางปลอดภัยในภาวะภัยพิบัติ และเรื่องนี้จะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับภาคีเครือข่ายช่วงสิ้นปี2557 จากนั้นก็ประกาศเปิดใช้ เส้นทางคมนาคมที่ร่วมกันปรับปรุง อัน เป็นการร่วมสร้างกรุงเทพฯให้ เป็นนครแห่งความปลอดภัย สอดคล้องตามนโยบายรักกรุงเทพ ฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ” นายอมรกล่าว
ด้านพ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย อุปนายกสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัย แห่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในส่วนของผู้ปฏิบัติงานตรงในเหตุภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งได้ร่วมระดมความเห็นการกำหนดแผนบริหารจัดการนี้ มองว่าการจัดเสวนาดังกล่าวถือเป็นหลักเกณฑ์ที่ดีที่จะได้ระดมความเห็นของผู้มีประสบการณ์ อันจะช่วยให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ในการประเมินเหตุการณ์ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากร อุปกรณ์ สถานที่อพยพ รวมถึงการจราจร หากถ้าเกิดเหตุขึ้นก็สามารถใช้ได้ทันที
ขณะเดียวกันก็ได้สะท้อนปัญหาการปฏิบัติงานของอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสารณภัยสังกัดสมาคมที่มีหน่วยปฏิบัติการอยู่ 80 หน่วย ด้วย ซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานกว่า2,400 คน (หน่วยละ30คน) และการให้บรรเทาเหตุมีประสิทธิภาพ รวดเร็วทันการณ์ หัวใจหลัก ต้องให้ประชาชน ชุมชน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพราะประชาชนจะรู้จักสภาพแวดล้อม ผลกระทบต่างๆดีที่สุด ส่วนใหญ่กรุงเทพมหานครมีการจัดอบรมอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยสำนักงานเขตเป็นผู้จัด อบรมกันแล้วก็แล้วไป ไม่ได้เข้าถึงชุมชนจริง ต่อจากนี้ไป กทม.ได้ให้สถานีดับเพลิงเป็นศูนย์กลางในการให้ความรู้ประชาชนในชุมชน ประสานงานกันให้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่วันนี้สถานีดับเพลิงของกรุงเทพมหานครยังไม่ครอบคลุมทั้ง 50 เขต จึงอาจยังทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าประเมินแล้วกทม.ต้องมีสถานีป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหลักถึง 82 สถานี และ 40 สถานีย่อยถึงจะครอบคลุมทุกพื้นที่
“เรื่องของชีวิตเราต่อรองไม่ได้ เรามีแผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัยระดับชาติ ปี 57 ปัจจุบันก็ยังทำไม่ได้ ยังขาดทั้งเจ้าหน้าที่ อัตรากำลัง อุปกรณ์ เครื่องมือ การให้ความรู้ก็สำคัญ ประชาชน ชุมชนต้องรู้ต้องเข้าใจภัยพิบัติ ระดับความรุนแรง การปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อง่ายต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการเข้าระงับเหตุหรือหึความช่วยเหลือ รวมถึงกรณีหากต้องอพยพก็พร้อมออกจากพื้นที่ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายชีวิตและทรัพย์สิน และผู้ปฏิบัติงานก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องต่างๆเหล่านี้ทุกฝ่ายต้องร่วมบริหารจัดการ” พ.ต.ท.ชุมพล กล่าว
ด้านรศ.ดร.บรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งแรกในประเทศไทย ภารกิจหลักผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ และประสบการณ์จริง เพื่อมุ่งสร้างคน เพื่อสร้างเมือง เน้นงานวิจัยเป็นหลัก เพื่อนำงานวิจัยมาแก้ปัญหาของเมือง ทั้งภัยพิบัติต่างๆ การจราจรติดขัด ความเหลื่อมล้ำทางฐานะในสังคม รวมถึงการจัดการภัยพิบัติ และแก้ปัญหาน้ำท่วม ระยะเริ่มแรกเปิดสอนระดับปริญญาตรี และประกาศนียบัตรเพียง 2 คณะ คือ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล และคณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์
ขณะนี้มีแผนพัฒนามหาวิทยาลัย โดยวางแผนยุทธศาสตร์ ปี 2555-2557 มีการโอนย้ายสถาบันพัฒนาเมืองจากสำนักผังเมือง กทม.มาอยู่ในกำกับ ขยายเพิ่มหลักสูตรปริญญาโท 3 คณะ คือ คณะรัฐประศาสนศาสตร์การบริหารเมือง คณะวิศวกรรมศาสตร์เมือง คณะวิทยาศาสตร์เมือง เป็นคลังความรู้ให้มหานคร เน้นผลิตงานวิจัยเป็นหลักโดยประสานกรุงเทพมหานครวิจัยในเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่เป็นความต้องการของมหานครอย่างแท้จริง ผลงานวิจัยใช้ประโยชน์ได้จริงไม่สูญเปล่า มีการฝึกอบรมสร้างคนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทดแทนรุ่นเก่าที่ออก เพื่อเสริมกำลังพัฒนาเมืองต่อเนื่องไม่สะดุด เน้นผลิตบุคลากรทั้งวิศวกร แพทย์ และพยาบาล ที่ตอบสนองความต้องการของเมือง และต้องรักษาบุคลากรที่มีความรู้ และเก่งให้อยู่กับเรามากที่สุด นอกจากนี้ยังจัดอบรมมหานครให้กับผู้ที่สนใจจากหน่วยราชการหรือองค์กรภาคต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมือง โดยการอบรมรุ่น 3 จะเน้นเรื่องทรัพยากรเมือง ผู้ที่เข้าอบรมต้องเข้าใจว่ากรุงเทพมหานครทำอะไร แล้วหน่วยงานหรือองค์กรของเขาจะร่วมทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เป็นแนวร่วมสร้างเมืองพัฒนาเมืองน่าอยู่
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้.ดูเหมือนทุกฝ่ายจะออกแรงร่วมมือกันแข็งขัน ในส่วนของประชาชนเองก็ควรต้องรู้จักภัยพิบัติด้วยว่าคืออะไร เป็นอย่างไร รับมืออย่างไร ข้อมูลทั่วไปภัยพิบัติที่มีความเป็นไปได้จะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ก็ต้องติดตามเพื่อความเตรียมพร้อม ตามแผนป้องกันภัยพิบัติของ กทม. พ.ศ.2553-2557 มี 4 ประเภท ได้แก่ อุทกภัย แผ่นดินไหว อัคคีภัย และการรั่วไหลของสารเคมี แบ่งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็น 4 ระดับ ตามความสามารถในการคาดคะเนและเข้าไปควบคุมภัยพิบัติ คือ ระดับที่ 1 ภัยทั่วไป ระดับที่ 2 ภัยที่ไม่คาดคิด ระดับที่ 3 ภัยที่ควบคุมได้ยาก และระดับที่ 4 ภัยหลัก
การบริหารจัดการภัยพิบัติของเมืองจะมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบ คือ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรุงเทพมหานคร ซึ่งสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีแผนดำเนินการเป็นวัฏจักร เริ่มจากการป้องกัน (Prevention) การเตรียมความพร้อม (Preparedness) รับมือ (Response) ฟื้นฟู(Recovery)เยียวยา (Mitigation) แล้วกลับมาที่การป้องกันอีกครั้งหนึ่ง แบ่งการบริหารจัดการภัยพิบัติ เป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ (Pre-disaster Phase)ช่วงระหว่างเกิดภัยพิบัติ(During disaster Phase) และช่วงหลังเกิดภัยพิบัติ(Postdisaster Phase) การบริหารจัดการการคมนาคมขนส่งในช่วงภัยพิบัติถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมความพร้อม เพราะการคมนาคมถือเป็นหัวใจสำคัญของการช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งการอพยพ การขนส่งผู้ป่วยยามฉุกเฉิน การกู้ภัย การขนส่งและลำเลียงความช่วยเหลือในด้านต่างๆ
การที่กรุงเทพมหานครออกโรงเป็นเจ้าภาพระดมความเห็นบูรณาการร่วมหน่วยงานและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกำหนดเป็นแผนแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ดูตามหลักการเหตุผลแล้วสมบูรณ์แบบ เพราะจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปี 2554 ในหลายจุด มีปัญหาในการป้องกันค่อนข้างมาก จนสร้างความเสียหายให้เกิดในวงกว้าง แถมการเข้าไปให้ความช่วยเหลือบางจุดยังล่าช้าหรือซ้ำซ้อนไม่ทั่วถึงอีกด้วย ทั้งนี้ปัญหาอาจเกิดจากต่างคนต่างทำงาน และไม่ได้มีการประสานงานปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน โดยสรุปแผนรับมือป้องกันที่ กทม.เตรียมพร้อมจึงน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกส่วนที่ปฏิบัติงาน แต่ทุกอย่างจะดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหนเท่าไหร่อย่างไร ปัญหามันอยู่ที่ว่าแนวทางบริหารจัดการชัดเจนมีประสิทธิภาพหรือไม่
พรสวรรค์ จรเจริญ รายงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี