ภารกิจบนความท้าท้ายของสำคัญของกรมตรวจบัญชีในปีนี้ นอกจากได้ประกาศเป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ โดยปรับทิศทางการดำเนินงานให้สอดรับและทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ยังได้เตรียมความพร้อมธุรกิจสหกรณ์ไทยและเร่งพัฒนาระบบบัญชีพร้อมเตรียมสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (AEC) ในปี 2558 อีกด้วย โดยมุ่งพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็งและความโปร่งใสในด้านการบริหารจัดการการเงินและการบัญชีให้กับสหกรณ์และเกษตรกรทั่วประเทศ ทั้งยังมุ่งยกระดับคุณภาพมาตรฐานให้กับระบบบัญชี พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่จะเข้าไปตรวจสอบบัญชีประจำปี เน้นให้สหกรณ์มีความโปร่งใสเพื่อลดปัญหาการทุจริต และให้การบริหารจัดการด้านการเงินและการบัญชีมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้เร่งเตรียมความพร้อมสนับสนุนประเทศไทยในการเข้าสู่เวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี (AEC) ในปี 2558 เบื้องต้นมีแผนเร่งพัฒนาศักยภาพผู้สอบบัญชีของกรมฯให้ได้มาตรฐาน ผู้สอบบัญชีระดับสากลเพื่อให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งให้เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (Certified Public Accountant หรือ CPA) ตามมาตรฐานของสภาวิชาชีพบัญชี ซึ่งจะช่วยยกระดับองค์ความรู้ ผู้สอบบัญชีของกรมฯ ให้ทันต่อความก้าวหน้าของธุรกิจสหกรณ์ที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ทั้งยังพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรให้มีความเข้มแข็ง และภายหลังผู้สอบบัญชีเกษียณอายุราชการ ยังมีความรู้ติดตัว และสามารถประกอบอาชีพหล่อเลี้ยงครอบครัวต่อไปได้
ปัจจุบันกรมตรวจบัญชีสหกรณ์มีผู้สอบบัญชี ประมาณ 700-800 คน รองรับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรกว่า 11,000 แห่ง แต่มีผู้สอบบัญชีสหกรณ์เพียงบางส่วนที่ได้รับการรับรองเป็น CPA จากสภาวิชาชีพบัญชีแล้ว อย่างไรก็ตาม กรมฯจำเป็นต้องเร่งผลักดันผู้สอบบัญชีสหกรณ์ให้เป็น CPA เพิ่มมากขึ้น และเป็นผู้สอบบัญชีอย่างมืออาชีพด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาระยะพอสมควร เนื่องจากต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอนและทำได้ค่อนข้างยาก
ทั้งนี้ การที่จะเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ ต้องผ่านการฝึกหัดงานและผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ ข้อกำหนดและเงื่อนไขของสภาวิชาชีพบัญชี ดังนั้น ผู้สอบบัญชีที่ต้องการเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องมีความพยายามอย่างสูงและใส่ใจในการเรียนรู้ด้วย เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชีระดับสากล
อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากจะพัฒนายกระดับผู้สอบบัญชีสหกรณ์ให้เป็น CPA แล้ว กรมฯยังมีแผนร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์มุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ตรวจสอบกิจการสหกรณ์ ซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาตั้งแต่ 1-5 ราย/สหกรณ์ ถือเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญที่จะตรวจสอบการดำเนินงานของสหกรณ์อย่างต่อเนื่องว่ามีความโปร่งใสหรือไม่ น่าจะเป็นกลไกช่วยในการตรวจสอบและพัฒนาระบบควบคุมภายในของสหกรณ์ให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์อีกด้วย
กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบภาคสหกรณ์ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอีกด้วย เพื่อศึกษาผลกระทบต่อภาคสหกรณ์ไทยทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า สหกรณ์มีโอกาสได้รับการสนับสนุนทางการเงินการบัญชีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ขณะที่ภาครัฐจะมีโอกาสได้รับการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในภูมิภาคอาเซียน ในการพัฒนาด้านการเงินการบัญชีของสหกรณ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและทันต่อการเปลี่ยนแปลง และภาคเอกชนในประเทศจะมีการบูรณาการงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมสนับสนุนภาคสหกรณ์ให้ดำเนินกิจการด้วย
ส่วนผลกระทบด้านลบของสหกรณ์ คือ การขาดสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละสหกรณ์ และเกิดการขาดแคลนพนักงานการเงินการบัญชีที่มีความสามารถ สหกรณ์ที่ไม่มีความพร้อมจะไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนั้น ยังพบว่า สหกรณ์ต้องใช้งบประมาณในการพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง สำหรับภาครัฐจะขาดการกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน ทั้งยังขาดศักยภาพในการปฏิบัติงานและขาดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การใช้เงินงบประมาณไม่คุ้มค่า ขาดการสร้างนวัตกรรมที่จะส่งเสริมพัฒนาภาคสหกรณ์ให้ประสบความสำเร็จ และยังขาดการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการเงินการบัญชีของสหกรณ์ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ทั้งนี้ คณะทำงานฯเสนอแนะว่า ประเด็นเร่งด่วนที่ไทยต้องดำเนินการพัฒนาก่อนเข้าสู่ AEC คือ ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ (Logistics) ทั้งยังต้องเร่งผลักดันการออก/ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับให้สอดคล้องและเอื้อต่อการดำเนินกิจการของสหกรณ์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ขณะเดียวกันต้องเร่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรทั้งเจ้าหน้าที่สหกรณ์ และบุคลากรของรัฐให้มีความสามารถและมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ ในอาเซียน พร้อมเร่งพัฒนาระบบการบริหารภาครัฐให้เป็น E-Government และมีการให้บริการประชาชนในรูปแบบ E-Service รวมถึงการจัดตั้ง ASEAN Unit และพัฒนาบุคลากรเพื่อประสานงานเรื่องอาเซียนโดยเฉพาะด้วย” อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์กล่าว
นายวิณะโรจน์ ยังได้แนะแนวทางการปรับตัวของภาคสหกรณ์ในการเข้าสู่ AEC ว่า สหกรณ์ไทยต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีโอกาส เพื่อยกระดับความสามารถของธุรกิจสหกรณ์และการนำประโยชน์ไปสู่สมาชิก สำหรับสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจด้านบริการจะต้องได้รับการพัฒนารูปแบบธุรกิจให้มีความเหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC นอกจากนั้น สหกรณ์ยังต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค และความเสี่ยงเชิงระบบ อีกทั้งยังต้องเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และข้อมูลข่าวสาร สามารถเข้าถึงแหล่งปัจจัยการผลิต แหล่งทุน และตลาดเพื่อยกระดับสมรรถนะการแข่งขันให้สามารถขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน และขยายฐานตลาดไปสู่ประเทศนอกภูมิภาคอาเซียนด้วย อย่างไรก็ตาม ภาคสหกรณ์ต้องเร่งปฏิรูประบบการเรียนรู้แก่ผู้นำสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าสู่ AEC ซึ่งจะสามารถปรับตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
สำหรับสมาชิกสหกรณ์จำเป็นต้องเร่งปรับลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงเพื่อเพิ่มผลกำไร ทั้งยังต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น พร้อมพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังต้องเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และข้อมูลข่าวสาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ส่วนภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการบูรณาการอย่างเป็นระบบเพื่อส่งเสริมพัฒนาภาคสหกรณ์ไทยให้มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ให้บรรลุเป้าหมายร่วมของการเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่จะช่วยให้ภาคสหกรณ์เกิดความมั่นคงในที่สุด
ทั้งหมดถือเป็นภารกิจสำคัญที่กรมตรวจบัญชีได้เตรียมความพร้อม เพื่อหวังพัฒนาและผลักดันขบวนการสหกรณ์ไทยทั้งระบบให้แข็งแกร่งสามารถแข่งขันและยืดยัดอยู่ในเวทีประชาคมอาเซียนได้อย่างยั่งยืนได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี