คำว่า “ประชาสังคม” ในความหมายของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ได้ให้ความหมายว่า หมายถึง การที่ประชาชนจำนวนหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีอุดมคติร่วมกันหรือมีความเชื่อร่วมกันในบางเรื่องมีการติดต่อสื่อสารกัน หรือมีการรวมกลุ่มกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความรัก มีมิตรภาพ มีการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างและมีระบบการจัดการในระดับกลุ่ม เพราะฉะนั้นใครที่เคยได้ยินรัฐบาลชุดนี้พูดถึงคำนี้ก็คงจะพอเข้าใจความหมายกันแล้ว
คุณภรณี ภู่ประเสริฐ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะของ สสส. กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมความเข้มแข็ง และพัฒนาศักยภาพของภาคประชาสังคม โดยมองว่าภาคประชาสังคมมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งในงานที่ สสส. สนับสนุนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมมาตลอด ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2553 ได้มีการ จัดการความรู้ ศึกษากองทุนเพื่อการพัฒนาภาคประชาสังคมไทยและต่างประเทศ ศึกษาแหล่งเงินทุนทางเลือกเพื่อการสนับสนุนภาคประชาสังคม การจัดทำแผนที่ทางสังคมขององค์กรที่สนับสนุนภาคประชาสังคมรวมถึงแนวทางการสนับสนุนของภาครัฐและกฎหมายที่ส่งเสริมภาคประชาสังคม ตลอดจนการสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ การลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ การเข้าถึงระบบบริการสุขภาพในมิติต่างๆ การพัฒนาแกนนำและการพัฒนาศักยภาพที่สอดรับกับความต้องการของภาคประชาสังคม โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ สสส.ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.)ซึ่งแต่งตั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. 2558 มีหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชน ชุมชน รวมถึงสร้างความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ขององค์กรภาคประชาสังคมอีกด้วย
นายเดช พุ่มคชา ประธานคณะอนุกรรมการด้านการจัดทำฐานข้อมูลและส่งเสริมความเข้มแข็งองค์กรและเครือข่าย
ภาคประชาสังคม ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) ให้ความเห็นว่า โลกปัจจุบันค่อนข้างมีความซับซ้อน การบริหาร และพัฒนาประเทศจะอาศัยผู้นำเพียงอย่างเดียวไม่ได้ การร่วมมือกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ ภาคประชาสังคม ถือเป็นหุ้นส่วนกับภาครัฐในการพัฒนาประเทศ โดยจะต้องได้รับการเป็นหุ้นส่วนร่วมกันอย่างโปร่งใส เที่ยงธรรม และยุติธรรม แม้ว่าในทุกสังคมรัฐย่อมมีอำนาจมากกว่า ความเข้าใจซึ่งกันและกันเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน คล้ายกับการทำงานของ สสส.ที่มีการเชื่อมโยงระหว่างองค์กร และรัฐ ตลอดจนสังคม ทำให้โครงการต่างๆ สำเร็จ และสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมากมาย และจะดีไม่น้อยหากทุกหน่วยงานสามารถทำงานเชื่อมโยงกันเป็นส่วนเดียวกันที่จะขับเคลื่อนสิ่งดีเพื่อประเทศไปด้วยกัน ซึ่งจากการที่ได้ทำงานภาคประชาสังคมมานาน เห็นว่าสมัยก่อนภาคประชาสังคมถูกแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย หลายประเด็น ต่างคนต่างทำงานในสิ่งที่อยากทำ แต่ปัจจุบันมีการหันหน้ามาร่วมมือกันมากขึ้น เข้าใจกันช่วยเหลือกันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดี และถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากกว่าการมีข้อกฎหมายใดๆ
ล่าสุดในงาน เวทีรับฟังความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม จัดโดย กองกิจการอาสาสมัครและภาคประชาสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ช่วยทำให้บทบาทของภาคประชาสังคมมีความชัดเจนมากขึ้น โดยหลังจากการเปิดเวทีรับฟังความเห็นในงานวันนั้นแล้ว คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาและพัฒนากฎหมายเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม จะกลั่นกรองข้อมูลและนำเสนอต่อ คสป. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป…
“ปานมณี” และ “แนวหน้า” ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมภาคประชาสังคมอีกแรงหนึ่งด้วยนะคะ
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี