ถือได้ว่าเป็นชิ้นงานระดับโบแดงของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อีกชิ้นหนึ่งถึงการตระหนักและป้องกันภัยเรื่องความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทย เพราะจากสถานการณ์ในปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 33.9 ที่เกิดจากความประมาท ขาดวินัย ฯลฯ ซึ่งหลายๆ หน่วยงานควรผนึกกำลังเพื่อแก้ไขและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนทางถนนอย่างจริงจัง
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ให้การสนับสนุน กับแผนงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด (สอจร.) ที่ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) จนเกิดเป็นผลประจักษ์ในสังคมว่า การแก้ไขและป้องกันปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เดินมาถูกทางแล้ว
นพ.ธนะพงศ์ จินวงศ์
นพ.ธนะพงศ์ จินวงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนนเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า แนวทางการแก้ไขเราจะใช้นโยบาย 5 เสาหลักที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ คือ 1.ระบบบริหารจัดการ โดยมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยทางถนนให้มากขึ้น 2.ถนนโครงสร้าง ถนนควรมีระบบตรวจสอบความปลอดภัยและคุณภาพของถนนอย่างละเอียดในแต่ละพื้นที่ 3.ยานพาหนะ ต้องมีข้อกฎหมายที่ชัดเจนและหนักแน่นที่จะเอาผิดกับผู้กระทำผิดบนถนนให้เด็ดขาด 4.ผู้ใช้รถใช้ถนน ต้องมีมาตรการตรวจจับ เช่น กล้อง cctv เพราะถ้าจัดการคุณภาพบนถนนที่ดีได้ ก็จะเข้าไปกำกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้ดีมากขึ้น 5.ดูแลเยียวยา ให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและรู้วิธีการอย่างถูกต้อง เพื่อลดการเสียชีวิตจากจุดเกิดเหตุได้ หรือผู้ช่วยเหลือรู้จักป้องกันตนเองได้ไม่กระทำการใดเสี่ยงจนเกินไป
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ต้องขอบคุณ สสส. ที่เป็นฟันเฟืองคอยสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีความสัมพันธ์กันในเรื่องการดูแลสุขภาพคนไทยในหลายมิติ เพื่อส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพให้ขับเคลื่อนไปอย่างราบรื่น รวมทั้งมีการรณรงค์ในเรื่องการลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนมาโดยตลอด เช่น โครงการ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพ ครอบครัวและความมั่นคงในชีวิตของคนไทย
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวสรุปถึงตัวเลขของอุบัติเหตุบนท้องถนนให้ทราบ ว่า หากเทียบอัตราส่วนผู้เสียชีวิตต่อประชากร 1 แสนคนแล้วพบว่า 10 อันดับจังหวัดที่เสียชีวิตน้อยที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ยะลา แม่ฮ่องสอน สตูล อำนาจเจริญ ปัตตานี ศรีสะเกษ นราธิวาส สุโขทัย น่าน ขณะที่ 10 อันดับที่เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ ระยอง สระแก้ว ชลบุรี จันทบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระบุรี ลพบุรี ประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี ดังนั้นหากหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบทางด้านนี้ปฏิบัติได้ทั้ง 5 ข้อ ประเทศไทยก็ลดจำนวนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนได้ แต่ประชาชนเองก็ต้องร่วมมือกับผู้นำท้องถิ่นร่วมหาแนวทางการแก้ไข ให้ความสำคัญเรื่องการขับขี่ปลอดภัย โดยเริ่มจากระดับชุมชนสู่ระดับตำบลและระดับอำเภอจนถึงระดับจังหวัด เพื่อรายงานปัญหาในพื้นที่ให้เกิดการแก้ไขได้ทันท่วงที
นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย
สำหรับตัวเลขของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกและโรงพยาบาลขอนแก่น ด้านการควบคุมป้องกันอุบัติเหตุสรุปผลให้ทราบว่า 45% ของผู้เสียชีวิตเกิดจากอุบัติเหตุทางถนน ได้แก่ ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 39% คนเดินเท้า 5% และ คนขี่จักรยาน 1% ซึ่งอันดับที่ 1 ของผู้เสียชีวิตทางถนน อยู่ในช่วง 15-29 ปี โดย 3 ใน 4 เป็นเพศชาย ซึ่งจากผลรายงานสถานการณ์ทำให้สะท้อนถึงพื้นฐาน ความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิตวัฒนธรรม เป็นพฤติกรรมที่ประมาท ขาดวินัย ไม่เห็นคุณค่าในตนเองเท่าที่ควรไม่ห่วงตนเองและผู้อื่น จึงเกิดข้อเสนอเชิงนโยบายขึ้นดังนี้ 1.ต้องตระหนักว่าปัญหาอุบัติภัยบนท้องถนนของประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ 2.หน่วยงานทุกหน่วยงานต้องจริงจังในการดำเนินงานมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย 3.ต้องมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดหาอุปกรณ์สนับสนุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ 4.ต้องเร่งปรับระบบในกระบวนการเอาผิดกับผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด
ดังนั้นผลที่ปรากฏข้างต้นทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยข้อกำหนดเชิงนโยบายจากรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการที่จริงใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่ทุกหน่วยงานจะให้ความร่วมมือต่อกันเพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ยั่งยืนตลอดไป
โดย ปานมณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี