ช่วงกุมภาพันธ์ 2557 ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สมาชิกพรรค และกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคได้ปราศรัยต่อหน้าคนจำนวนมากและถ่ายทอดทางวิทยุ โทรทัศน์ มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า นปช.ลั่นกลองรบ รวมพลทั้งภาคเหนือและอีสานจำนวนเป็นล้านคน เพื่อตั้งตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ใหม่ เมื่อพึ่งศาลไม่ได้ ประชาชนต้องพึ่งตัวเอง ประกาศรับสมัครชายฉกรรจ์เพื่อฝึกอาวุธ มีหลายจังหวัดขึ้นป้ายผ้าตามถนนประกาศข้อความ “แยกประเทศไทยออกเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา” “รัฐไทยใหม่ สปป.ล้านนา” “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศเป็นล้านนา”
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 มีนักการเมืองบางคนไปเป็นประธานสวนสนามแสดงกองกำลังตำรวจบ้านปกป้องประชาธิปไตย 8,300 นาย ที่จ.พะเยา หนังสือพิมพ์ลงข่าวสัมภาษณ์นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ อดีตรองประธานสภาผู้แทนฯ สส.พะเยา พรรคเพื่อไทย สรุปความตอนหนึ่งว่า “.....เมื่อคนเสื้อแดงไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติตามกฎหมาย และประชาชนโดยเฉพาะคนเหนือคนอีสานรู้สึกไม่ยุติธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่เขาชื่นชอบ คือที่มาสำคัญของการคิดแบ่งแยกดินแดง ....”ฯลฯ
มีเหตุการณ์สำคัญที่น่าติดตามอย่างยิ่งคือ หลังจากที่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม เป็นต้นมา
ได้มีการจับและยึดอาวุธสงครามจากกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมาก
จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น เห็นได้ว่ามีผู้กระทำการเกี่ยวข้องทั้งกลุ่มผู้สนับสนุน กองเชียร์ ผู้ลงมือกระทำ แกนนำลำดับต่างๆ สมาชิกพรรค นักการเมืองทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น มีตำแหน่งเป็น สส. กรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค ซึ่งจะเป็นการกระทำเข้าข่ายความผิดอย่างไรหรือไม่ คงเป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาหลักฐานให้แน่ชัดว่า การกระทำของแต่ละคนจะเป็นความผิดอย่างไร จะได้รับโทษทางอาญาหรือไม่อย่างไร
แต่การกระทำของนักการเมือง ผู้บริหารพรรค การเมือง กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคดังกล่าวจะเป็นความผิดตามกฎหมายต่างๆ และจะมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพิพากษายุบพรรคหรือไม่ ยังไม่เคยมีการพิจารณาวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานมาก่อนจึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว หากผลการสอบสวนมีพยานหลักฐานฟังได้ว่า การกระทำเป็นความผิดกฎหมายต่างๆ ผู้กระทำก็สมควรต้องรับโทษอาญา สำหรับพรรคการเมืองก็จะต้องถูกยุบพรรค
มีกฎหมายต่างๆ ที่บัญญัติไว้หลายฉบับ จะต้องนำมาพิจารณาประกอบเกี่ยวกับคดีนี้ จึงขอนำมาเป็นแนวทางสร้างความรู้ ความเข้าใจของท่านผู้อ่านพอเป็นสังเขป ดังนี้
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 4 ให้คำจำกัดความว่า “พรรคการเมือง” หมายความว่า คณะบุคคลที่รวมกันจัดตั้ง โดยได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมุ่งที่จะส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอื่นอย่างต่อเนื่อง
ก่อนมีการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และประกาศใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 รายงานว่า มีพรรคการเมืองดำเนินการอยู่ 66 พรรค พรรคที่มีบทบาทสำคัญและดำเนินกิจการอยู่ อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครักประเทศไทย พรรคภูมิใจไทยพรรคพลังประชาชน เป็นต้น
การดำเนินกิจการของพรรคการเมืองไทย ต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายต่างๆ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ร.บ.พรรคการเมือง และประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ ดังนั้นหากพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคได้กระทำผิดกฎหมายต่างๆ ดังกล่าว ย่อมมีความผิดและต้องรับโทษ อาทิ ต้องโทษปรับ โทษจำคุก โทษตัดสิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งโทษการยุบพรรคการเมือง
การดำเนินการต่างๆ ของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคที่นำไปสู่การยุบพรรค มักป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายต่างๆ ดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 1 บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้”
มาตรา 237 “ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดกระทำการ ก่อ หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ หรือระเบียบหรือประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลดังกล่าว ฯลฯ
ถ้าการกระทำของบุคคลดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ปรากฏหลักฐาน ควรเชื่อได้ว่าหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ตามมาตรา 68 และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าวมีกำหนดห้าปี นับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง” ซึ่งพรรคการเมืองที่เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคเพราะมีผู้บริหารพรรคบางคนกระทำผิดโดยการทุจริตการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา อาทิเช่น พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมหาชน เป็นต้น
พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 94 บัญญัติว่า เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค 1.กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการตามที่รัฐธรรมนูญให้ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจด้วยวิธีการดังกล่าว 2.กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ หรือระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม 3.กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ 4.กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรหรือขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือ 5.กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 21 วรรคหนึ่ง มาตรา 43 มาตรา 65 มาตรา 66 มาตรา 69 หรือมาตรา 104
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร มาตรา 113 ซึ่งบัญญัติว่า
“ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ (1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ (2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญหรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ (3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำผิดใดๆอันเป็นส่วนของแผนการ เพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
มาตรา 116 ผู้ใดกระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข่าวข้างต้น จะครบองค์ประกอบความผิดกฎหมายอย่างใดหรือไม่ ผลจะเป็นประการใดประชาชนจะคอยดู การทำหน้าที่ของท่านผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายและคงไม่ช้าเกินรอ ขอให้พระสยามเทวาธิราชจงโปรดคุ้มครองประเทศไทยให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากผู้คิดร้ายด้วยเถิด
วิจิตร อยู่สุภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี