นครบาล-ทหารโชว์ฝีมือ
จับมือฆ่า”สุทิน”
แกนนำโค่นระบบทักษิณ
พร้อมทูตมรณะปืน11มม.
ทบ.แจงทูตเหตุยึดอำนาจ
14กค.บวงสรวงทำเนียบฯ
มีรายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)ว่า ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารได้ออกปฎิการเมื่อเช้ามืดวันที่ 9 กรกฎาคม เข้าจับกุมนายสุรกริช ชัยมงคล อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/2 หมู่ 11 ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพระโขนง ที่ 337/2557 ลงวันที่ 8 มกราคม 2557 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ,พยายามฆ่าผู้อื่น ,มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต ,พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และมีอาวุธปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยไม่ใช่เหตุในที่ชุมชน พร้อมของกลางอาวุธปืนขนาด 11มม.ซึ่งจับกุมได้ที่บ้านพักหลังดังกล่าว
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายสุทิน ธราทิน แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ จนเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหน้าวัดศรีเอี่ยม ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม.ต่อมาทางเจ้าหน้าที่จึงเร่งสืบสวนสอบสวนติดตามคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุ โดยมีภาพถ่ายและพยานหลักฐานต่างๆ กระทั่งทราบว่า นายสุรกริช คือหนึ่งในผู้ต้องหาที่ก่อเหตุครั้งนี้ จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับไว้ ก่อนจะสามารถติดตามจับกุมตัวไว้ได้
ผู้ต้องหายังปฎิเสธยิง”สุทิน”
รายงานข่าวจากฝ่ายสืบสวน แจ้งอีกว่าสำหรับอาวุธปืนที่ตรวจยึดได้จากนายสุรกิช นั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นปืนที่ตรงกับปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่มีหลักฐานเพิ่มเติมที่เชื่อได้ว่า นายสุรกริช เป็นมือสังหาร แม้ว่าในเบื้องต้นผู้ต้องหา ยังคงให้การปฎิเสธ โดยอ้างว่าในวันเกิดเหตุได้เดินทางไปลงคะแนนเสียง ที่ วัดศรีเอี่ยม ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ช่วงที่มีการยิงกัน อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน อยู่ระหว่างเร่งสอบปากคำผู้ต้องหารายนี้ โดยคาดว่าน่าจะมีการแถลงข่าวอีกครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
“วรเจตน์”รายงานตัวกองปราบ
วันเดียวกันที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ พร้อมด้วย นางพัชรินทร์ ภาคีรัตน์ ภรรยา และทนายความ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.พัฒนพงศ์ ศิริเจริญนำ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม ในคดีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่เข้ารายงานตัวตามกำหนด โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา นายวรเจตน์ ได้ถูกควบคุมตัวมาดำเนินคดีหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ
สำหรับการเข้าให้ปากคำในครั้งนี้ นายวรเจตน์ ได้พาภรรยา และเพื่อนอาจารย์มหาวิทยาลัยเดียวกัน มาเป็นพยานเพื่อยืนยันถึงเหตุผลความจำเป็น นอกจากนี้ในช่วงเวลานั้นก็มีอาการป่วยอีกด้วย จึงไม่สามารถเข้ารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.และภายหลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีไปไหน ก่อนที่จะถูกพิจารณาดำเนินคดีดังกล่าว และขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัวต่อศาลทหาร เป็นผลัดที่ 2 โดยหลังจากพนักงานสอบสวนสอบปากคำเสร็จสิ้น ก็จะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการต่อไป
สอบปากคำ”เสธ.หยอย”เพิ่มเติม
เวลา 11.00น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน ได้เชิญตัว พล.ท.มนัส เปาริก หรือ “เสธ.หยอย” อายุ 65 ปี อดีตรองแม่ทัพภาค 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2557 ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย มาสอบปากคำเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว หลังจากพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน จากนั้นจึงคุมตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขัง ในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ โดยหากผู้ต้องหาจะยื่นเรื่องขอประกันตัว ก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลที่จะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่
ปล่อย”บก.ฟ้าเดียวกัน”แล้ว
วันเดียวกัน พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.ได้ทำหนังสือถึง พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.พิจารณาปล่อยตัว นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการนิตยสารฟ้าเดียวกัน หลังจากถูกควบคุมตัวฐานกระทำผิดเงื่อนไข เนื่องจากนายธนาพล ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากได้รับการปล่อยตัวไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี นายธนาพล ได้รับปากแล้วว่าจะไม่กระทำผิดเงื่อนไขอีก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำเพื่อปรับทัศนคติแล้ว จึงพิจารณาปล่อยตัว ก่อนที่จะกักตัวจนครบกำหนด 7 วัน ซึ่งสามารถกักตัวได้ถึงวันที่ 11กรกฎาคมนี้
เจ้ากรมข่าวแจงผู้ช่วยทูตทหาร
เมื่อเวลา 10.00น.วันที่ 9กรกฎาคม ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.ประนต แสงเทียน เจ้ากรมข่าวทหารบกชี้แจงผู้ช่วยทูตทหารประจำประเทศไทย 20ประเทศ และผู้แทน อีก 5 ประเทศ รวม 25 ประเทศถึงความคืนหน้าการสถานการณ์และบริหารประเทศ ภายหลังจากที่ คสช.เข้ายึดอำนาจ
พล.ต.ประนต กล่าวชี้แจงถึงข้อกังวลของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ ต่อกรณีที่ คสช.ตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสารธารณะใน5กลุ่มงานคือ ด้านสื่อวิทยุโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ ด้านข่าวสารสื่อสังคมออนไลร์ และด้านข้อมูลข่าวสารต่างประเทศ โดยยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปในลักษณะติดตาม รายงานข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวสารที่ส่งผลกระทบกับประชาชนหรือองค์กร หน่วยงาน เพื่อประสานหน่วยเกี่ยวข้องในการดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ข้อมูลถูกต้องเหมาะสม รวดเร็ว ปราศจาคการบิดเบือนจนนำไปสู่ความเกลียดชังบุคลคลหรือองค์กร หน่วยงานหลักๆ ของคณะทำงานด้านสื่อในหลายๆคณะจะคล้ายกันคือ เป็นการทำงานเสริมประสิทธิภาพทางฝั่งภาครัฐ เพื่อให้การตอบกลับข่าวสารทันท่วงที เพื่อให้ผลการรับรู้ในข้อเท็จจริงที่ประชาชนควรรู้ อย่างไรก็ตามก็คงอยู่ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนและรับฟังกันด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง ภายใต้ผลประโยชน์ประเทศชาติที่ควรเป็นไปอย่างเหมาะสม
หลายประเทศไม่อุ้ม”จารุพงศ์”
พล.ต.ประนต กล่าวอีกว่า สำหรับ การเคลื่อนไหวของ นายจารุพงศ์ เรื่องสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เป็นไปในลักษณะการปลุกปั่นยุงยงในต่างประเทศ ถือว่ามีข้อจำกัดในตัวอยู่แล้ว เพราะในหลายๆประเทศส่วนใหญ่ จะไม่ยอมให้ใครมาเคลื่อนไหวใสนลักษณะแบบนี้ในประเทศตนเองเช่นกัน มิฉะนั้นจะถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงภายในได้
ส่วน การออกหมายจับ นายจักรภพ เพ็ญแข ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามนั้น การดำเนินการเป็นไปตามพยานหลักฐาน ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม รวมถึงการถอนพาสปอร์ตของกลุ่มเสื้อแดงจำนวน 6 คน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อจำกัดในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดี ที่ต้องอยู่ในสำนวนการสอบสวนและไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้
เตือนอย่าทำกิจกรรมการเมือง
พล.ต.ประนต กล่าวอีกว่า ส่วนการจัดกิจกรรมที่เข้าข่ายเป็นกิจกรรมทางการเมือง ขอความร่วมมือกับบุคคลทั่วไป หลีกเลี่ยงการดำเนินการดังกล่าว ที่ทำให้สัมคมมองว่าเป็นกิจกรรมทางการเมือง ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจพบว่ามีบางกลุ่มได้รวมกลุ่มจัดกิจกรรมในลักษณะที่อาจจะเข้าข่ายดังกล่าว โดยไม่ได้แจ้ง บอกล่วงหน้า หรือขออนุญาติจาก คสช. ซึ่งจากกรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ต้องขอเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องมาพบต่อไป เพราะถือว่าผิดเงื่อนไขที่ คสช.ได้ขอความร่วมมือ
คาดทูลเกล้ารธน.กรกฎาคมนี้
พล.ต.ประนต ยังกล่าวย้ำถึง โรดแมพของ คสช.ว่า ในระยะที่1 จะร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวคู่ขนานกับการแก้ปัญหาของประเทศ โดยเดือน ก.ค. นี้ จะมีการนำร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวขึ้นทูลเกล้าฯและบังคับใช้ ในส่วนระยะที่2 ส.ค.-ก.ย. จะจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี จัดตั้งสภาปฎิรูปแห่งชาติและร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ส่วนเดือน ต.ค. จะจัดตั้งสภาปฎิรูปแห่งชาติและเริ่มปฎิบัติหน้าที่ ทั้งนี้จากเดือน ตุลาคม ปี2557เป็นต้นไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2558 สภาปฎิรูปจัดทำข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการเพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เดือน ก.ค. ปี 2558 รัฐธรรมนูญฉบับถาวรเสร็จ ระยะที่3 รัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีผลบังคับใช้และจัดการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ภายในปี 58จะเสร็จสิ้นทุกกระบวนการและนำไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ทำพิธีบวงสรวงทำเนียบ14กค.
มีรายงานว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา หัวหน้า คสช. ได้ประกาศโรดแม็ปการปฏิรูปประเทศ โดยกำหนดให้มีการตั้งรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศภายในเดือน ก.ย.นี้ ล่าสุด พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายกิจการพิเศษ ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในทำเนียบรัฐบาลเพื่อสั่งการให้มีการตั้งหัวหน้าคณะทำงานดูแลอาคารสถานที่ เตรียมความพร้อมรับรัฐบาลที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล รวมไปถึงสถานที่อื่นๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ บ้านพิษณุโลก และบ้านมนังคศิลา เป็นต้น โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน
ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้ สปน.ดำเนินการจัดพิธีบวงสรวงสักการะบูชาพระพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาลขึ้นในวันที่ 14 ก.ค.นี้ เวลา 11.45 น. โดยได้เชิญพระราชครูวามเทพมุนี (พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ) ประธานพระครูพราหมณ์ เป็นผู้ประกอบพิธี ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยก่อนเริ่มพิธี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน และผู้เข้าร่วมจะรวมตัวพร้อมกัน ณ ศาลพระภูมิ สักการะพระภูมิเทวาและศาลปู่ ย่า ตา ยาย ก่อนไปรวมตัวกันที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อร่วมพิธีบวงสรวงสักการะบูชาพระพรหม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี