ประกาศใช้รธน.ชั่วคราว
นายกฯ-ครม.
วางสเปกเปิดทาง”ขรก.”
บล็อคนักการเมือง”ห้ามจุ้น”
2มาตราสุดท้ายนิรโทษคสช.
มาแล้วตัวเต็งลุ้น”สนช.”โผล่
จับตา”มีชัย-วิษณุ”นั่งเก้าอี้ปธ.
เมื่อเวลา 16.45 น.วันที่ 22 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เฝ้าฯรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557ที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว โอกาสนี้พ.อ.ณัฐวุฒิ ภาสุวณิชย์พงศ์ ฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
รธน.ชั่วคราวเน้นคืนความสุขปชช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557 ได้ประกาศในราชกิจกานุเบกษาในค่ำวันเดียวกัน โดยมีทั้งหมด 48มาตรา ซึ่งสาระสำคัญในบทนำของรัฐธรรมนูญ ได้ให้เหตุผลในการเข้ามายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมว่า เพื่อให้ คสช.ได้เข้ามาดูแลควบคุม สร้างความสงบเรียบร้อยและสร้างความปรองดองหลังจาก เกิดวิกฤติทางการเมืองอย่างรุนแรงรวมทั้งข้อขัดแย้งในทางกฎหมาย ที่ไม่รู้จักจบสิ้น คสช.ต้องต้องเข้ามายุติปัญหาดังกล่าว สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนี้ ยังคงไว้ซึ่งบทบัญญัติหมวด2 พระมหากษัตริย์ ขอรัฐธรรมนูญฉบับปี2540 เหมือนเดิมทุกประการ
ตั้งสนช.220คน-ปลอดนักการเมือง
สำหรับในมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว กำหนดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฏร วุฒิสภา และรัฐสภา จำนวนไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด และมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีตามที่ คสช.ถวายคำแนะนำ โดยพิจารณาจากบุคคลกลุ่มต่างๆทุกภาควิชาชีพ และจะต้องไม่เคยมีตำแหน่งในพรรคการเมืองในระเวลา 3ปีก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นสนช.
ซักฟอกรมต.ได้แต่ห้ามลงมติ
มาตรา 16 ที่ประชุม สนช. มีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานได้ แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบเมื่อเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของแผ่นดิน และสนช.ไม่น้อยกว่า 1 ใน3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จะเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงได้ แต่จะลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจมิได้
ขรก.เป็นนายก-รัฐมนตรีได้
ในส่วนมาตรา 19 เกี่ยวกับการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีนั้น ได้กำหนดให้ สนช.ลงมติเพื่อทูลเกล้าฯผู้ที่เหมาะสมเป็นนายกฯแก่พระมหากษัตริย์ รวมไปถึงรัฐมนตรีไม่เกิน 35 คน โดยได้กำหนดคุณสมบัติสำหรับผู้ที่มาเป็นนายกฯและรัฐมนตรีไว้ว่า ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในระยะเวลา 3 ปีก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้ง รวมไปถึงต้องไม่เป็น สนช. สปช. กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา ตุลาการ อัยการ กรรมการในองค์กรอิสระต่างๆด้วย ทั้งนี้ในส่วนขอนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น เปิดทางให้ข้าราชการประจำเป็นรัฐมนตรีได้
มีสปช.250คน-ยกร่างใน120วัน
สำหรับมาตรา 27-31 เกี่ยวการให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีทั้งสิ้น 250 คน โดย คสช.เป็นผู้ถวายคำแนะนำ ซึ่งต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี สำหรับคุณสมบัติต้องห้ามเช่นเดียวกับ สนช. นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 36 คน ประกอบด้วย ประธาน กมธ. 1 คนโดย คสช.เป็นผู้เสนอ ที่เหลือให้ สปช.เสนอจำนวน 20 คน อีก 15 คนให้ สนช. คณะรัฐมนตรี และ คสช.เสนอฝ่ายละ 5 คน
ทั้งนี้ได้กำหนดให้ กมธ.ยกร่างให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน รวมไปถึงกำหนดห้าม กมธ.ยกร่างรัฐรรมนูญดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระยะเวลา 2 ปีหลังจากพ้นตำแหน่ง
ให้อำนาจหน.คสช.ถ่วงดุลนายกฯ
มีประเด็นสำคัญในมาตรา42 คือในกรณีเห็นสมควร หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรี อาจขอให้ประชุมร่วม2ฝ่ายดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาใดๆอันเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ หรือเรื่องอื่นใดก็ได้ โดยเฉพาะในมาตรา 44 นั้น ได้ให้อำนาจหัวหน้า คสช. โดยความเห็นชอบของคสช. มีอำนาจสั่งการใดๆเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ
2มาตราสุดท้าย”นิรโทษคสช.”
ส่วนมาตรา 47 ได้ระบุถึงประกาศและคำสั่งทั้งหมดของ คสช.ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และในมาตรา 48 ได้กล่าวถึงการนิรโทษกรรมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง โดยระบุ “บรรดาการกระทําทั้งหลายซึ่งได้กระทําเนื่องในการยึดและควบคุมอํานาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ของหัวหน้าและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งการกระทําของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทําดังกล่าวหรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือของผู้ซึ่งได้รับคําสั่งจากผู้ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อันได้กระทําไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทําดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทําเพื่อให้มีผลบังคับในทางรัฐธรรมนูญ ในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทําอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทําในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทํา หรือผู้ถูกใช้ให้กระทํา และไม่ว่ากระทําในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทํานั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทําพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”
คสช.เตรียมชี้แจงรายละเอียด
ด้านนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้นำสำเนารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาแจกให้กับสื่อมวลชน กล่าวว่า ในวันที่ 23 ก.ค. คณะทำงานร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจะชี้แจงถึงรายละเอียดเนื้อหาอีกครั้งในเวลา 10.00 น.
หึ่ง!ฝุ่นตลบโผสนช.สะพัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานจากคณะทำงานฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช.ว่าหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯแล้ว ก็จะเข้าสู่การเตรียมแต่งตั้งสนช.จำนวน 220 คน ที่จะเป็นโครงสร้างแรกที่เกิดขึ้นหลังมีการประกาศใช้รธน.ฉบับชั่วคราว เบื้องต้นมีรายงานว่าโผบัญชีรายชื่อสนช.ที่คสช.และคณะทำงานได้เตรียมชื่อไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ทั้งรายชื่อจากสายกองทัพที่แต่ละเหล่าทัพส่งลิสต์มา รายชื่ออดีตบิ๊กทหารที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและคสช.เห็นว่าจำเป็นต้องตั้งมาเป็นสนช. ที่ก็จะมีทั้งอดีตนายทหารระดับสูงที่ใกล้ชิดกับสายคสช. หรืออดีตนายทหารที่มีความรู้เรื่องข้อกฎหมายต่างๆ เช่นจากกรมพระธรรมนูญ –สายนักวิชาการ เช่น อธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่งอาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงตัวแทนจากองค์กรหลากหลายสาขาอาชีพ
อดีตสนช.ปี49-สว.ปี57ลุ้นตัวโก่ง
ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติรุ่นปี 49 มีลุ้นได้กลับมาเป็นสนช.57อีกรอบ เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยเป็นสนช.ปี 49 มาก่อน จึงรู้จักกับอดีตสนช.รุ่นดังกล่าวหลายคน แต่ในส่วนของอดีตสว.ปี 57ยังไม่ชัดว่า จะได้เป็นสนช.รอบนี้หรือไม่ แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวว่ามีนายทหารในกองทัพติดต่อผ่านอดีตสว.เลือกตั้งบางคนที่มีชื่อเสียงเพื่อขอให้ส่งชื่ออดีตสว.ที่เห็นว่าควรตั้งเป็นสนช.มาให้คสช.พิจารณา แต่หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป
สุดท้ายต้องส่งชื่อให้บิ๊กตู่เคาะ
โดยที่ผ่านมาหลายสัปดาห์ทางคณะทำงานและนายทหาร คสช.ได้รวบรวมรายชื่อและตรวจสอบประวัติต่างๆไปก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้ว และมีข่าวว่าอาจจะมีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนทั้งภาครัฐ นักธุรกิจ นักวิชาการ ที่ทางกองทัพโดยคณะทำงานเพื่อการปฏิรูปประเทศ ที่มีพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ เป็นประธานเคยเชิญตัวมาพูดคุยเพื่อถามความเห็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ ก็อาจมีชื่อเป็นสนช.ด้วยบางส่วน แต่สุดท้ายรายชื่อทั้งหมดก็จะส่งให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ตัดสินใจว่าเลือกใครเป็นสนช.
ปูด อาจลดโควต้าสายท็อปบูท
แหล่งข่าวจากคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คสช.ระบุว่า ขั้นตอนต่อจากนี้หากกระบวนการตั้งสนช.และมีประธานสนช.ที่จะต้องมีการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯด้วย หากช่วงเวลาต้องขยับออกไปจากกำหนดเดิมที่คสช.วางไว้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ อาจต้องเลื่อนการพิจารณาร่างพรบ.งบฯรายจ่ายประจำปี 2558ในชั้นสนช.จากเดิมที่วางไว้ 6 สิงหาคมออกไป แต่หากทุกอย่างเสร็จทันก็ส่งร่างพรบ.งบฯ 58 ให้สนช.ตามกำหนดเดิม
“เบื้องต้นมีความเป็นไปได้ที่คสช.อาจไม่ตั้งพวกทหารหรืออดีตทหารเป็นสนช.มากอย่างที่เคยเป็นข่าวอาจลดโควต้าลง แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ ”แหล่งข่าวจากคสช.ระบุ
เผยเบื้องหลังรธน.ชั่วคราว
ข่าวแจ้งว่า สำหรับรธน.ฉบับชั่วคราวจากเดิมที่คณะทำงานยกร่างที่มีนายวิษณุ เครืองามเป็นประธานได้เสนอไปให้คสช.พิจารณาเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนมีด้วยกัน 45 มาตรา แต่สุดท้ายมีการปรับเพิ่มขึ้นมา 3มาตรา จึงมี 48 มาตรา ซึ่งที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเพราะคสช.ได้ขอให้คณะทำงานไปเขียนเพิ่มเรื่องพระราชอำนาจในด้านต่างๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น
จับตา”มีชัย-วิษณุ”ปธ.สนช.
มีรายงานว่า สำหรับคนที่จะมาเป็นประธานสนช.นั้นต้องดูว่ามีชื่อของนายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานสนช.ปี 49 หรือไม่ หากไม่มีชื่อนายมีชัยเป็นสนช.หรือมีชื่อ แต่นายมีชัย ปฏิเสธไม่รับตำแหน่งอย่างที่มีกระแสข่าว แล้วหากมีชื่อของวิษณุ เครืองาม ก็มีโอกาสสูงที่นายวิษณุจะเป็นแคนดิเดทประธานสนช. เพราะแสดงว่าไม่ได้ไปรับตำแหน่งรองนายกฯฝ่ายกฎหมายอย่างที่คนคาดการ แต่หากไม่มีชื่อวิษณุ ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะไปเป็น รองนายกฯ ในครม.ที่จะตั้งขึ้น หรือไม่ก็อาจเป็นทหารระดับสูงบางคนที่คสช.จะดันให้เป็นประธานสนช.เพื่อประสานระหว่างคสช.กับสภานิติบัญญัติฯ
“พรเพชร”คั่วปธ.กมธ.ยกร่าง
ข่าวยังแจ้งอีกว่า มีความเป็นไปได้เช่นกันที่อาจมีชื่อนายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ตรวจการแผ่นดินที่มาช่วยเป็นที่ปรึกษาคสช.ในการยกร่าง รธน.จะได้เป็นประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ด้านนายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตสนช.ปี 49 และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกระแสข่าวมีชื่อเป็นแคนดิเดทประธานสนช.ว่า ไม่รู้เรื่องเลย ไม่ทราบเรื่องนี้เลยพูดอะไรไม่ได้
เร่งใช้งบปี58-ทำแผนพัฒนาศก.
ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นประธานการประชุม คสช.ครั้งที่7/2557 โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คสช.ได้ดำเนินการประชุมเรื่องต่างๆที่สำคัญ ทั้งการเร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณปี2558 งบลงทุนของรัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงงบอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบความโปร่งใส โดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) สำหรับการจัดทำแผนการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษได้มอบหมายให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์ฯ) ไปดำเนินการ โดยขอดำเนินการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลักเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯที่ไทยจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
เดินหน้าแก้กม.ปราบคอร์รัปชัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอด 2เดือนที่ผ่านมา ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการตามภารกิจด้านการพัฒนา ผลักดันกฎหมายและมาตรการต่างๆ โดยมุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นได้ออกมาตรการป้องกันแก้ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ(ปปท.) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการโดย 1.ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบของหน่วยงาน 2.เร่งปฏิบัติการเชิงรุกแก้ปัญหาบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติภายใต้ยุทธการ“ยึดผืนป่ากลับคืนเป็นมรดกของแผ่นดิน”3.เฝ้าระวังป้องกันโครงการที่มีความสำคัญที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในการจ่ายงบประมาณแผ่นดินภายใต้โครงการช่วยเหลือฟื้นฟูจากเหตุพิบัติ เช่น ช่วงใกล้ๆฤดูน้ำหลากที่ประชาชนบางส่วนประสบน้ำท่วมที่อยู่อาศัยก็จะตรวจสอบดูแลไม่ให้เกิดการทุจริต เป็นต้น
เลิกบวงสรวงทำเนียบ-งบยังไม่ผ่าน
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลาประมาณ 08.00น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่จากกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง จัดเตรียมเครื่องบวงสรวง เพื่อจัดทำพิธีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่และศาลตายาย ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยได้รับการแจ้งว่า มีการประสานไปจาก นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยเจ้าหน้าที่จากกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ประสานเป็นการภายในมาจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงเซ่นไหวพระภูมิเจ้าที่อย่างเร่งด่วน แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ฯกำลังเตรียมเครื่องบวงสรวงอยู่นั้น มีโทรศัพท์เข้ามายังบุคคลที่เป็นหัวหน้างาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเก็บเครื่องบวงสรวงที่เตรียมไว้ขึ้นรถตู้กลับออกไปทันที เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งพูดแต่เพียงว่า “มาผิดที่”
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า สาเหตุที่มีคำสั่งให้ยกเลิกพิธีบวงสรวงศาลพระภูมิเจ้าที่ภายในทำเนียบรัฐบาลแบบกะทันหันนั้น เนื่องจากงบประมาณปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลยังไม่ผ่านความเห็นชอบจาก คสช.ที่สำนักเลขาธิการนายกฯได้ส่งให้ คสช.พิจารณาในวันที่ 22กรกฎาคมนี้ วงเงิน 250ล้านบาท จึงขอว่า อย่าเพิ่งดำเนินการเรื่องใดๆออกไปก่อน
เปิดงาน“มหกรรมปรองดองฯ”
ส่วนที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงในช่วงเช้า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผอ.ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูปและผู้แทนกระทรวงต่างๆ รวมทั้งพรรคการเมือง 11พรรค อาทิ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายยงยุทธ ติยะไพรัช พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย รวมทั้งคู่ขัดแย้งการเมือง เช่น นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมตักรบาตรพระสงฆ์ 99รูป ก่อนร่วมเปิดงาน”มหกรรมสร้างความปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้คนในชาติ”
เตรียมเข้าแผนฟื้นฟูชาติระยะ2
พล.ท.กัมปนาท กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นไปด้วยควมเรียบร้อย ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ ความขัดแย้งปัจจุบันนี้แทบจะหมดไป ศูนย์ปรองดองฯทำงานมาร่วม 2เดือนและกำลังจะจบวาระแรก โดยกำลังรวบรวมข้อมูลส่งหัวหน้า คสช.ก่อนจะเข้าสู่ระยะที่2 โดยจะสรุปข้อมูลทั้งหมดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนเพื่อนำไปถกเถียงกันในสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่กำลังจัดตั้งขึ้นในเร็ววันนี้ สำหรับกิจกรรมคืนความสุขให้ประชาชนนั้นจะค่อยๆ ลดความถี่ลงเมื่อเข้าสู่ระยะที่2 เพราะจะเน้นเนื้อหามากขึ้น โดยจะเปิดเวทีให้แต่ละกลุ่มมาแสดงความคิดเห็นว่า อยากให้ คสช.ทำอะไร ส่วนจะนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ต้องพูดคุยกันใน สปช.ว่า จะต้องการหรือไม่
แดง-เหลือง-ปชช.แห่ร่วมงานคึก
จากนั้น เวลา 18.40น.นายวีระกานต์ มุสิกะพงศ์ คณะกรรมการกิจการ พรรคเพื่อไทย รวมถึง นายอภิรัตน์ ศิรินาวิน หัวหน้าพรรคมวลชน นายสาธิต วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส.และนายธีระ วงศ์สมุทร หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เดินทางมาร่วมงาน โดยมีการขึ้นเวทีเปิดงานพร้อมกันด้วย ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมงานจำนวนมากและงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-27กรกฎาคมนี้ โดยหลังปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าวเปิดงานแล้ว จากนั้นเป็นการแสดงภาคบันเทิงของนักร้องศิลปินเพลงจากค่ายต่างๆ รวมถึงการแสดงของกลุ่มเด็กและเยาวชน
จับเพิ่ม2มือบึ้มป่วนเวทีกปปส.
ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.ผบช.ภ.1ร่วมแถลงผลจับกุม นายอภิชาติ พวงเพ็ชร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารสระบุรีและนายวรพนธ์ ผลไม้วงษ์ดี ข้อหาครอบครองวัตถุระเบิดและฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.พร้อมของกลางระเบิดเอ็ม19 เอ2 จำนวน 1ลูกและระเบิดอาร์จีดี5 อีก 2ลูก
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า การจับ นายอภิชาติ ขยายผลหลังจับอาวุธสงครามที่ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้น นายอภิชาติ เข้ามอบตัวและสารภาพว่า รับระเบิดกว่า 20ลูก จากคนกลุ่มหนึ่งก่อนนำมาเเจกให้เพื่อนนำไปก่อเหตุในพื้นที่ บช.น.(ช่วงชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือกปปส.)ส่วนระเบิดที่เหลืออีก 4ลูกนั้น นำไปทิ้งคลองเเสนเเสบ โดยเจ้าหน้าที่จะลงค้นหาต่อไป กรณีจับกุม นายวรพนธ์ เนื่องจากสายทหารระบุว่า นายวรพนธ์ เป็นบุคคลเป้าหมาย จึงเชิญตัวมาสอบปากคำ กระทั่งสารภาพว่า เป็นผู้ครอบครองระเบิดทั้ง 3ลูกจริง จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2ราย นำระเบิดไปเเจกจ่ายให้หลายบุคคลเพื่อนำไปก่อเหตุในพื้นที่ชุมนุม แต่ไม่ขอระบุรายละเอียดว่า เชื่อมโยงกับเหตุพื้นที่ใดบ้าง รวมถึงใครอยู่เบื้องหลัง จนกว่าจะมีหลักฐานชัดเจน
แกนนำกคป.มอบตัวปัดยิงสุทิน
ที่ สน.บางนา นายธวัชชัย พรหมจันทร์ แกนนำกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน หรือ กคป.พร้อมทนายความ เข้าพบ พ.ต.อ.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผกก.สน.บางนา เพื่อมอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับศาลจังหวัดพระโขนง คดีขัดขวางการเลือกตั้ง และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง พกพาและยิงปืนโดยไม่มีเหตุผลอันควร จากกรณีเกิดเหตุลอบยิง นายสุทิน ธาราทิน แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท.เสียชีวิต ขณะนำมวลชนขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา กทม. เมื่อวันที่ 26มกราคมที่ผ่านมา
หลังเข้าให้ปากคำ นายธวัชชัย เปิดเผยว่า ตนมารับทราบข้อกล่าวหาขัดขวางการเลือกตั้ง และพกพาอาวุธปืน โดยตนปฎิเสธมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิง นายสุทิน เนื่องจากตนมีความสนิทและมีอุดมการณ์เดียวกัน เรื่องนี้จึงไม่เป็นความจริง ก่อนยื่นประกันตัว 5หมื่นบาท จากนั้นจึงไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.บางซื่อ กรณีบุกรุกทำลายทรัพย์สินกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 6มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนใช้เงินสด 5หมื่นบาท ขอประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนเพื่อออกไปสู้คดี
“บิ๊กตู่”ยกเลิกประกาศปิดปากสื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เวลา 23.20น.วันที่ 21กรกฎาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีประกาศ คสช.ฉบับที่103 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คสช.ฉบับที่97 โดยแก้ไขเพิ่มเติมเรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของ คสช.และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะลงวันที่ 18กรกฎาคม2557 เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่ประชาชนเป็นไปอย่างถูกต้อง ปราศจากการบิดเบือนและความเข้าใจผิด อันจะส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม หลังมีการเข้าพบหารือของตัวแทนองค์กรสื่อ 4แห่ง เมื่อวันที่ 21กรกฎาคมที่ผ่านมา
โดยให้ยกเลิกความใน(3) ของข้อ2 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของ คสช.และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน"(3) การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช.โดยมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ"พร้อมให้ยกเลิกความในข้อ5และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ข้อ5 ในกรณีที่ปรากฎว่าบุคคลใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อ2 หรือข้อ3 พนักงานเจ้าหน้าที่อาจส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี