กองทัพอากาศได้20คน
โควตาสนช.
คสช.ให้ส่งชื่อทุกเหล่า
‘บิ๊กตู่’ขอคัดเองเป็นพิเศษ
คาดทูลเกล้าฯ30กรกฎาคม
ยันกันยายนได้รัฐบาลใหม่
พท.โต้ข่าวปูเลื่อนกลับไทย
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 กรกฎาคม ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้เป็นประธานการประชุม คสช.ชุดใหญ่ ครั้งที่8 โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงภาพรวมการทำงานของ คสช.ว่า กำลังเข้าสู่ระยะที่2 เป็นเรื่องการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อสรรหานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี(ครม.)โดยเชื่อว่าจะมีรัฐมนตรีเข้าบริหารประเทศในเดือนกันยายนนี้อย่างแน่นอน พร้อมระบุว่า งานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมถึงงานด้านความมั่นคงถือว่า มีความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้ โดย คสช.จะศึกษารายละเอียดรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ในการวางกรอบแนวทางบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
พร้อมกันนี้ ยังสั่งการให้แต่ละส่วนงานของ คสช.สรุปประเมินผลการดำเนินงานทุกรอบ3เดือน เพื่อเตรียมบูรณาการประเทศทุกด้านระยะยาวต่อไป
ประจินยันยังไม่ทูลเกล้าฯสนช.
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.และรองหัวหน้า คสช.เปิดเผยถึงกระแสข่าวถูกวางตัวให้เป็น รมว.คมนาคม ว่า อาจจะเร็วไปและยังไม่ทราบ ดังนั้นอยากจะขอเวลาให้ สนช.ได้ทำหน้าที่ก่อน ซึ่งขณะนี้ในส่วนของ สนช.ได้เตรียมการขั้นต้นแล้ว แต่ยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยในส่วนของกองทัพอากาศได้แบ่งออกเป็น 2ชุด ชุดแรกประมาณ 10คน ได้ส่งประวัติไปแล้ว ส่วนชุดที่2 จะมีเพิ่มเติมหรือไม่ ทางหัวหน้า คสช.บอกว่า ให้รออีก 1-2วัน จึงยังไม่รู้ว่าจะได้กี่คน
โควต้าทอ.20คน-ผ่านแล้ว10คน
“10คนแรกที่ผ่านการพิจารณาจาก คสช.เป็นทหารประจำการกองทัพอากาศ ทั้งนี้คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็น สนช.นั้น หัวหน้า คสช. ได้พูดชัดเจนแล้วว่า สนช.จะดูในแง่ของสภานิติบัญญัติ และมีความรู้ความเข้าใจ เพราะสนช.เป็นองค์กรที่ทำให้เกิดรัฐบาลและจะต้องทำงานควบคู่ไปทั้งสี่ฝ่าย คือ สนช.รัฐบาล สปช.และคสช.”พล.อ.อ.ประจิน กล่าวและว่า คสช.ได้ร้องขอไปยังทุกเหล่าทัพให้จัดส่งนายทหารเข้ามาร่วมคัดเลือกเป็น สนช.ส่วนแต่ละเหล่าทัพจะได้โควต้าเท่าไหร่นั้น ตนไม่ทราบ ส่วนรายชื่อที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯเต็ม 220คนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหัวหน้า คสช.
คาดทูลเกล้าฯ31กค.-3ส.ค.นี้
แหล่งข่าว คสช. กล่าวถึงการแต่งตั้ง สนช.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า ต้องเป็นผู้มีความรู้มีความสามารถจากหลายแขนง ซึ่งโควต้าทหารน่าจะประมาณครึ่งหนึ่ง มีทั้งนายทหารที่อยู่ในและนอกราชการ เนื่องจาก สนช.ต้องปฏิบัติงานได้ทั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกรัฐสภา เพราะทั้ง 3องค์มีหน้าที่พิจารณาผ่านกฎหมายสำคัญ โดยเฉพาะกฎหมายพิเศษ
“หัวหน้า คสช.ให้ความสำคัญต่อการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะมาเป็น สนช.เพราะสนช.ถือเป็นหัวใจสำคัญ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะมารองรับสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)จึงต้องพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบ คาดว่าหัวหน้า คสช.จะนำขึ้นทูลเกล้าฯช่วงวันที่ 31กรกฎาคม-3สิงหาคมนี้”แหล่งข่าว คสช.กล่าว
สั่งยุบ3ทบทวน2กองทุนประชานิยม
เย็นวันเดียวกัน ร.อ.นพ.ยงยุทธ์ มัยลาภ ทีมโฆษก คสช.แถลงผลประชุม คสช.ครั้งที่8 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำชับการใช้งบประมาณภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลทุกหน่วยงานต้องใช้ให้มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะ6กองทุนในสังกัดสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.)ต้องทบทวนหรือ ยุบภารกิจ คือ 1.กองทุนหมู่บ้านและชุมนุมเมือง 2.กองทุนเอสเอ็มแอล 3.กองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในชุมชน 4.กองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 5.กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและ6.สภาเกษตรกร ทั้งนี้ งบประมาณที่ คสช.เรียกคืนจาก สลน.จากทั้ง 5กองทุน รวม 9,925ล้านบาท โดยงบดังกล่าวจะนำไปสนับสนุนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)และโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) หรือกองทุน สสว.ต่อไป
“กกล.รส.”แถลงผลงาน2เดือน
ที่ห้องประชุมกองทัพภาคที่1 พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) จัดแถลงข่าวผลจับกุมอาวุธสงคราม การจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การลักลอบเล่นพนันและลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ที่ติดตามจับกุมและตรวจยึดมาได้ในรอบ 2เดือนที่ผ่านมา โดย พ.อ.วิธัย สุวารี โฆษก คสช.แถลงว่า ผลการจับกุมและตรวจยึดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ ช่วงวันที่ 26มิถุนายน-25กรกฎาคม ประกอบด้วย ปืนสงคราม 30กระบอก, ปืนยาว 688กระบอก, ปืนสั้น 911กระบอก, กระสุนปืน 9,295นัด,ระเบิดขว้าง 45ลูก,ระเบิดยิง 19ลูกและชิ้นส่วนอาวุธปืน 108รายการ จับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง 2,779คน หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง จำนวน 8ครั้ง ได้ผู้ต้องหา 12คน
จับอาวุธ-ยานรก-นักพนันอื้อ
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า การจับกุมเกี่ยวกับบ่อนพนัน, ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้และการค้ายาเสพติด ประกอบด้วยจับกุมบ่อนพนันและการลักลอบเล่นการพนัน 12,872คดี ผู้ต้องหา 22,752ราย ของกลางประเภทตู้พนัน (ตู้ม้า ตู้ไฟฟ้า, ตู้ดีดลูกแก้ว) จำนวน 4,043ตู้และของกลางประเภทไพ่, อุปกรณ์การเล่นไฮโลและสลากกินรวบอีกจำนวนมาก ส่วนการจับกุมยาเสพติด มีจำนวน 66,657คดี ผู้ต้องหา 70,635ราย ของกลาง ยาบ้า 83,218,736.95เม็ด, ยาไอซ์ 1,125.59กิโลกรัม, เฮโรอีน 369กิโลกรัม, กัญชาแห้ง 22,644.70 กิโลกรัม,พืชกระท่อม 38,738.49 กิโลกรัม, ฝิ่น 109กิโลกรัม,โคเคน 31.17กิโลกรัม, ซูโดอีเฟดรีน229,850เม็ดและยาแก้ไอ 334.32กิโลกรัม ส่วนการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ จำนวน 987คดี ของกลางประกอบด้วย ไม้พะยูง 4,197ลูกบาศก์เมตร มูลค่า 630,274,642บาท,ไม้สัก 580ลูกบาศก์เมตร มูลค่า 15,953,500บาท และไม้กระยาเลย 1,904 ลูกบาศก์เมตร หรือมูลค่า 29,420,197บาท
รวบผู้ต้องหาปาบึ้มกปปส.อีก2
ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.และพล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการแทน ผบช.ภ.1 แถลงข่าวจับกุมตัว นายเจริญ พรมชาติ หรือชาติและนายณัฐพรรณ์ บางล้า หรือแอ็ด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ โดยจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 28กรกฎาคมที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่จับกุม นายอภิชาติ พวงเพ็ชร หรืออัคคี ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองและฝ่าฝืนประกาศคสช.ซึ่ง นายอภิชาติ สารภาพว่า ได้กระจายระเบิดอาร์จีดี5 ให้พวกรวม 4คน ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนขยายผลจนจับกุม นายณัฐพรรณ์และนายเจริญ 2ใน 4ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้แล้ว
ฝักใฝ่การเมือง-ไม่ชอบอีกฝ่าย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวน นายณัฐพรรณ์ สารภาพว่า ได้รับระเบิดมาจากนายอภิชาติ มา 4ลูกจริง โดย นายอภิชาติ นัดให้ตนไปรับระเบิดที่ย่านสำเพ็งสแควร์ โดยส่วนตัวแล้ว นายณัฐพรรณ์ ฝักใฝ่การเมืองอยู่แล้ว เมื่อรู้สึกไม่ชอบการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่เกิดขึ้น บวกกับได้รับค่าจ้างจึงไปรับระเบิดมา แต่ไม่เคยนำระเบิดที่ได้รับมาใช้แต่อย่างใด
ล่าอีก1หนีกบดานปท.เพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ มีผู้ต้องหาอีกหนึ่งรายที่ยังหลบหนีอยู่ คือ นายกฤษดา ไชยแค หรือดา ซึ่ง นายกฤษดา ได้รับระเบิดอาร์จีดี5 มาจาก นายอภิชาติ จำนวน 4ลูก ก่อนนำไปก่อเหตุที่ถนนบรรทัดทอง 1ลูกและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2ลูก จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ขณะนี้ นายกฤษดา หนีไปกบดานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดตามจับกุมตัวต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เพราะต้องการให้มีหลักฐานที่ชัดเจนก่อน เพื่อออกหมายจับและนำตัวผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีให้ได้ทั้งหมด ทั้งนี้ คดีดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับอาวุธสงครามที่เจ้าหน้าที่จับกุมได้ที่ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนหน้านี้
พท.ยัน”ปู”กลับสู้คดีข้าวแน่
ด้านนายสิงห์ทอง บัวชุม คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกระเเสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอขยายเวลาเดินทางกลับไทย จากเดิมวันที่ 10สิงหาคม ออกไปอีกว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพียงแต่พูดในหลักการว่า หากท่านมีภารกิจจำเป็นก็อาจชี้เเจงเหตุผลถึงความจำเป็น แล้วมอบอำนาจให้คนที่อยู่ในประเทศนำไปยื่นต่อ คสช.ได้ ซึ่งเป็นการอธิบายตามหลักการ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการขอเลื่อน ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ท่านอาจจะไม่กลับมาเเล้วเพราะกังวลเรื่องคดีนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะขนาดปปช.ชี้มูลความผิดโครงการรับจำนำข้าว ทีมทนายความพยายามทักท้วงไม่ให้ชี้เเจงเอง แต่ท่านก็ยังขอชี้แจงด้วยตัวเอง นอกจากนี้ กระบวนการต่อสู้ทางคดี แม้ผ่าน ปปช.ไปก็ยังมีชั้นศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งยังใช้เวลาอีกนาน ตนมั่นใจว่า ท่านจะกลับมาสู้คดีอย่างแน่นอน
ลั่นพร้อมแจงปม”ทัวร์นกขมิ้น”
ด้าน นายพิชิต ชื่นบาน คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พท.)กล่าวถึงกรณีอนุกรรมการ กกต.มีมติดำเนินการทางกฎหมายปม”ทัวร์นกขมิ้น” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า เรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมชี้แจง โดยก่อนหน้าจะเป็นข่าว กกต.ได้มีหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งหากไม่มาชี้แจงก็ให้ยื่นหนังสือไปชี้แจงได้ เมื่อดูจากเรื่องที่กล่าวหาก็จะต้องตรวจสอบพยานบุคคลและพยานเอกสารจำนวนมาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงทำเรื่องขอเลื่อนยื่นเอกสารออกไป 15วัน หลังกลับจากต่างประเทศ หรือพูดง่ายๆคือ 15วัน นับจากวันที่ 10สิงหาคม ซึ่ง กกต.ได้อนุมัติแล้ว
นายพิชิต กล่าวว่า ข่าวที่ออกมาอยากขอให้ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือ กกต.อย่าด่วนชี้นำความผิดจนนำไปสู่การโยงว่า ต้องยุบพรรค เพราะฝ่ายบริหารกับฝ่ายการเมือง ทำงานแยกกันและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มีหลักฐานว่า ไม่ได้ใช้เงินและเจ้าหน้าที่รัฐไปทัวร์นกขมิ้นทั้งไม่มีข้อเท็จจริงใดๆชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปหาเสียง หรือไปกล่าวในเชิงหาเสียงที่จังหวัดใดเลย พรรคก็ไม่เคยขอให้ไปช่วยหาเสียงและไม่มีเหตุจูงใจใดๆที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกฯจะไปช่วยหาเสียงให้ พท.
กกต.พร้อมให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง
ขณะที่ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.แถลงหลังประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมรับทราบกรณีคณะกรรมการสืบสวนฯมีมติแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับพวกรวม 9คนว่า กระทำการขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง กรณีไปตรวจราชการช่วงมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง 2กุมภาพันธ์ มีการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในเลือกตั้ง จากที่ได้สอบถามกับเลขานุการคณะกรรมการสืบสวนทราบว่า ได้มีหนังสือส่งไปถึงผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 9คนแล้วและมี 2-3คน ซึ่งไม่แน่ใจว่า ในจำนวนนี้มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยหรือไม่ที่ขอขยายระยะเวลายื่นเอกสารหลักฐานและเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ที่กกต.ให้เวลาไป 15วัน ขณะที่บางรายก็ยังไม่สามารถติดต่อไป รวมทั้งบางรายก็อ้างว่าหาข้อมูลไม่ทัน อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติหากครบระยะเวลา 15วัน คณะกรรมการสืบสวนจะพิจารณาว่า ข้อมูลที่ได้รับเพียงพอหรือไม่ หรือมีความจำเป็นที่จะต้องขยายระยะเวลาให้กับผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงให้ครบถ้วน ก็จะอนุญาตให้ขยายเวลาชี้แจงได้เพิ่มอีก
ชงสภาฯนสพ.สอบ“ผู้จัดการ”
สำหรับกรณี คสช. ออกหนังสือเตือนหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่253 วันที่ 26กรกาคม-1สิงหาคม2557 ที่ตีพิมพ์ข้อความด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.ถือเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศของ คสช.นั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 29กรกฎาคม รายงานข่าวจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุว่า คสช.ได้ส่งหนังสือมายังสภาการหนังสือพิมพ์แล้ว เพื่อให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ทำให้สภาการฯเรียกประชุมด่วนในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ โดยใช้เวลากว่า 2ชม.
ถ้าขอโทษ-คสช.พอใจเรื่องยุติ
ต่อมา นายจักร์กฤษณ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยหลังประชุมว่า ที่ประชุมได้รับทราบข้อร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรจาก คสช.แล้วและมีมติให้นำ นายสิทธิโชค ศรีเมือง รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณา เรื่องร้องทุกข์ นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาตรวจสอบตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ว่าด้วยวิธีพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ ทั้งนี้ ตัวแทนหนังสือเอเอสทีวีผู้จัดการที่เข้าร่วมประชุม ในฐานะกรรมการสภาการฯชี้แจงต่อที่ประชุมว่า ยินดีที่จะชี้แจงและจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการตรวจสอบดังกล่าว และหากผลสอบสวนของสภาการฯออกมาก็พร้อมปฏิบัติตาม จากนี้ไปคณะอนุกรรมการพิจารณา เรื่องร้องทุกข์จะส่งข้อร้องเรียนดังกล่าวไปให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฯเพื่อชี้แจงแก้ไขตามที่ คสช.ร้องเรียน หากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แก้ไขและขอโทษผู้ร้องเรียน หากผู้ร้องเรียนพอใจถือว่า เรื่องเป็นที่ยุติ
ตีพิมพ์คำขอขมาภายใน7วัน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พ.ศ.2540 ข้อ22 กำหนดว่า สำหรับโทษการรับผิด โดยหากผลวินิจฉัยออกมาระบุว่า หนังสือพิมพ์ที่เป็นสมาชิกสภาการฯ หรือผู้ประกอบการวิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในสังกัดละเมิดหรือประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ให้หนังสือพิมพ์ฉบับที่ถูกร้องเรียนดังกล่าว ลงตีพิมพ์คำวินิจฉัยอันเป็นที่สุด พร้อมทั้งตีพิมพ์คำขอโทษต่อผู้เสียหาย ในตำแหน่งและขนาดตัวอักษรที่เห็นได้ชัด เผยแพร่ต่อสาธารณะภายใน 7วัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี