”บิ๊กตู่”เล็งดึงขรก.มือฉมัง
ช่วยรมต.ทหาร
ปิดจุดอ่อนเดินหน้าลุยงาน
สถาบันพระปกเกล้าชี้ช่อง
ปราบโกงเป็นวาระแห่งชาติ
“วิลาส”ตามบี้ทุจริตในสภา
สถาบันพระปกเกล้าจัดงานสัมมนาเรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทย:การต่อต้านการทุจริต”ภายใต้โครงการสัมมนาสู่ทศวรรษที่ 9 ก้าวใหม่
ของระบอบประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะโดย นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า กล่าวเปิดงานพร้อมปาฐกถาพิเศษว่าการทุจริตเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและสาเหตุของการปฏิวัติ มักเชื่อมโยงการทุจริต วันนี้ความโปร่งใสของประเทศไทย ถูกจัดอันดับลดลงเป็นภาพที่แสดงถึงความห่วงใยในสังคมไทยและการทุจริตมีการขยายตัวไปในทุกระดับวันนี้มีการขยายตัวของหน่วยงานปราบทุจริตแต่บุคลากรกลับไม่เพียงพอ และค่านิยมของสังคมไทยในปีที่ผ่านมา คนไทย 2 ใน 5 เคยให้สินบน ค่านิยมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมองเรื่องทุจริตเป็นเรื่องปกติ มีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง
ดันปราบโกงเป็นวาระแห่งชาติ
“สาเหตุของการทุจริตเกิดจาก3เรื่องใหญ่ คือ การแก้กฎหมายที่เอื้อกับพวกพ้อง,การกระจายความมั่งคั่ง เกิดความเหลื่อมล้ำ,และการปราศจากสถาบันต่างๆที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจที่ผิด ดังนั้น ต้องทำให้การปราบทุจริต เป็นวาระแห่งชาติ และสร้างกลไกและความเข้มแข็งทางสังคมในประเด็นค่านิยมด้านการซื่อสัตย์สุจริต ไม่ยอมรับการทุจริต ที่ถือเป็นคำตอบที่สำคัญของการป้องกันการทุจริตในอนาคตรวมถึงปรับกฎหมายเพื่อป้องกัน หาบทลงโทษ และสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมด้วย ผู้นำประเทศ ต้องเป็นตัวอย่างในปัจจุบันแม้ผู้นำจะมีคำกล่าวที่สะท้อนถึงการรังเกียจการทุจริต แต่เพียงคำกล่าวอย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย ประเด็นการผลัดกันเกาหลัง ต้องหยุดในท้ายสุดต้องไม่ทำให้การคอร์รัปชั่นเดินตามการปฏิรูป แม้ทั้ง 2 เรื่องจะอยู่บนพรมหรือใต้พรมก็ตาม” นายวุฒิสาร กล่าว
อึ้ง!68%เห็นทุจริตแล้วนิ่งเฉย
จากนั้น น.ส.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า พร้อมคณะนำเสนอเรื่อง “สถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยและมาตรการต่อต้านการทุจริต”ว่าจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการบริการสาธารณะและการทำงานของหน่วยงานต่างๆ พ.ศ.2546-2556จัดทำโดยสำนักวิจัยฯพบว่าประชาชนมีประสบการณ์ พบเห็นการทุจริตด้วยตนเอง หลังจากที่พบและทราบเหตุการณ์ดังกล่าวก็พบว่าไม่ได้ทำอะไรหรืออยู่เฉยๆร้อยละ68.13รองลงมาคือการเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์แจ้งตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ระบุชื่อตนเองร้อยละ16.31และเขียนแจ้งไปยังหนังสือพิมพ์แต่ไม่ระบุชื่อร้อยละ8.5
พบคนไทย67.9ไม่ยอมรับติดสินบน
ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาฯระบุอีกว่านอกจากนั้นในประเด็นมุมมองและการยอมรับการทุจริตพบว่ามีความแตกต่างระหว่างเพศและวัย โดยเมื่อปี 2556 ทางสถาบันพระปกเกล้าได้สำรวจค่านิยมต่อการทุจริตในประเทศไทยพบว่าร้อยละ 67.9 ไม่ยอมรับการติดสินบนในการปฏิบัติหน้าที่ ที่เหลือยอมรับได้ในลำดับที่ลดหลั่นกันไปและมีเพียง ร้อยละ 0.3ที่ให้การยอมรับทุกรูปแบบ โดยคนในสัดส่วนดังกล่าวพบว่าเป็นเพราะไม่เคร่งศาสนาอยู่ในเพศหญิงมีความเห็นด้านลบต่อมาตรฐานการครองชีพที่ดีอีก10ปีข้างหน้าและพฤติกรรมไม่ติดตามข่าวสาร ดูแต่ละคร
สมคิดเชื่อถ้ารัฐเอาจริงปราบได้
ต่อมา มีการอภิปรายหัวข้อ“ปฏิรูปประเทศไทยด้วยการต่อต้านการทุจริต”เรื่อง“การปราบปรามการทุจริต”นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชันกล่าวว่าการทุจริตไม่สามารถทำให้หมดไปได้ แต่ต้องหามาตรการทำให้การทุจริตเกิดขึ้นให้น้อยและสุภาษิตไทยที่ว่า หัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ก็สอดคล้องกับเรื่องนี้เนื่องจาก หากหัวหน้าหน่วยงานไม่ทุจริต ก็จะทำให้คนในองค์กรไม่ทุจริตไปด้วย ดังนั้น ตราบใดนายกรัฐมนตรีไม่ทุจริต คนในสังคมก็จะไม่ทุจริตด้วย ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลมีนโยบายปราบปรามทุจริต แต่ก็มีการกล่าวหาว่าทุจริตในทุกรัฐบาล และตราบใดผู้มีอำนาจรัฐเป็นคนที่คอร์รัปชั่นเสียเองการปราบปรามการทุจริต ก็จะไม่สำเร็จ ประเทศที่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตได้ รัฐบาลเขาต้องเอาจริงและทุกวันนี้ที่คนกล้าทุจริต เนื่องจากผลตอบแทนความเสี่ยงมันคุ้มค่าและถ้าคนที่กระทำการทุจริตยังอยู่ในอำนาจอยู่ก็จะเป็นเรื่องที่ยากในการแก้ปัญหา
หนุน’บิ๊กตู่’ขจัดโกงต้องเด็ดขาด
“ในรายการคืนความสุข พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.)พูดว่าคสช.ให้ความสำคัญในการปราบปรามทุจริตก็ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี แต่ก็ได้ฟังอย่างนี้มาทุกรัฐบาล ผมจึงก็ขอฝาก คสช.ว่าหากจะแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นต้องใช้อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างผู้นำจีนโดยไม่เห็นแก่หน้าใครแล้วเอาตัวเอง เป็นต้นแบบ เพราะไม่เช่นนั้น ต่อให้สถาบันพระปกเกล้าทำวิจัยเรื่องนี้ไปแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น”นายวีระย้ำ
‘วิลาศ’โชว์หลักฐานสภาฯผลาญงบ
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์นายวิลาศจันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าการทุจริตในรัฐสภาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนตัวเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนั้นจำเป็นต้องมีการติดตามกันอย่างเข้มข้นซึ่งยกตัวอย่างการที่รัฐสภาจัดงานสัมมนานอกสถานที่เป็นประจำ เกือบทุกครั้งมักจัดขึ้นที่โรงแรมพูลแมน บางกอก คิงเพาเวอร์ทั้งที่ควรจัดในอาคารรัฐสภาที่มีห้องว่างเป็นจำนวนมากและแม้นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ได้กำหนดนโยบายว่าการจัดสัมมนาจะต้องจัดกันที่รัฐสภาแต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ส.ค.สำนักพัฒนาบุคลากรสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯได้จัดงานสัมมนาเรื่อง“การแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิเทศสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน:การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประจำปีงบประมาณ 2557” ที่โรงแรมพลูแมนบางกอก คิงเพาเวอร์ พบมีค่าใช้จ่ายแพงกว่าปกติ 3-4เท่า
บี้สอบทุจริตในสภาขรก.เอี่ยวอื้อ
นายวิลาศกล่าวต่อว่าการที่ตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีการจัดซื้อนาฬิกาดิจิตอลที่ติดตั้งในอาคารรัฐสภานั้นปรากฏว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ได้ชี้มูลมาแล้วและแจ้งผลการสอบสวนมาที่รัฐสภาว่า ให้ดำเนินคดีอาญาและสอบสวนทางวินัยกับข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน11คนและจากที่ตนและนายวัชระเพชรทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องการทุจริตในรัฐสภาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ซึ่งป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนฯและผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯอีกหลายคนที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตในรัฐสภา เป็นที่น่าแปลกใจว่าที่ผ่านมารัฐสภาเป็นหน่วยงานเดียวที่ สตง.และป.ป.ช.ไม่อยากเข้ามาแตะต้อง หรือตรวจสอบซึ่งคงเป็นเพราะเขาคิดว่ารัฐสภาเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและเป็นหน่วยงานที่พิจารณาอนุมัติการให้งบประมาณแก่ทั้ง2องค์กรนี้ แต่เมื่อได้เข้าตรวจสอบ ก็ทำให้พบว่ารัฐสภาเป็นหน่วยงานที่มีการทุจริตเป็นจำนวนมาก
หนุนบิ๊กตู่ปราบโกงพร้อมให้ข้อมูล
ทั้งนี้ นายวิลาศ ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.กล่าวผ่านรายการคืนความสุขประชาชนระบุให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องที่ต้องถูกแก้ไขเร่งด่วนที่สุดใน1ปีว่าเป็นเรื่องดีที่พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนเอาจริง และยุทธศาสตร์ของประเทศขณะนี้ คือต้องเร่งปราบปรามการทุจริต ทั้งนี้ตนพร้อมให้ข้อมูลที่มีอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่เพื่อใช้ไปดำเนินการแก้ปัญหาการทุจริต
กปปส.ตั้งมูลนิธิ“มวลมหาปชช.
อีกเรื่องหนึ่งนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(กปปส.)กล่าวว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของ กปปส.หลังจากนี้จะเป็นภายใต้กฎกติกาเงื่อนไขของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)โดยเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศโดย กปปส.จะเคลื่อนไหวในนามมูลนิธิ“มวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย”เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปทุกรูปแบบพร้อมสรุปแนวทางการปฏิรูปภายในระยะเวลา 1 ปี ตามโรดแม็พของ คสช.และเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)
หนุน คสช.-สปช.ปฏิรูปประเทศ
“โดยจะรวบรวมกลุ่มเครือข่ายต่างๆอาทินักวิชาการและมูลนิธิอื่นๆเพื่อดำเนินการศึกษาแนวทางการปฏิรูปประเทศซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน ที่สอดคล้องกับการปฏิรูปของคสช.ใน11ด้านที่ตรงกับความต้องการของประชาชนเชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาส คสช.และสปช.ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศและมูลนิธิของ กปปส.ส่วนหนึ่งจะศึกษาเรื่องการปฏิรูปอีกส่วนจะทำกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งแนวทางการปฏิรูปของกปปส.ที่ได้กำหนดหัวข้อการปฏิรูปไว้5ด้านช่วงชุมนุมมีการรวบรวมให้เกิดความชัดเจนและเสนอต่อ คสช.ไปแล้วโดยมีการนำไปจัดอยู่ในหัวข้อการปฏิรูปของ คสช.ทั้ง11ด้านซึ่งแกนนำ กปปส.จะเป็นตัวแทนประชาชนที่จะร่วมสร้างพลังสานต่อเจตนารมณ์ในการปฏิรูปประเทศให้ประสบผลสำเร็จก่อนตัดสินใจอนาคตทางการเมืองต่อไป” นายเอกนัฏ ย้ำ
ยอดสมัครสปช.4,584 คน
เย็นวันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการ กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง แถลงข่าวสรุปยอดรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นวันที่ 17 โดยนายบุณยเกียรติ ระบุว่าในวันนี้ มีนิติบุคคลเสนอรายชื่อบุคคลที่เห็นสมควรเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ที่ยื่นเข้ามาในส่วนกลางทั้ง 11 ด้าน จำนวน 215 คน และยื่นผ่านทางคณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน รวมแล้วมีผู้ที่มาสมัครเพื่อเข้ารับการสรรหาในวันนี้รวมทั้งสิ้น 235 คน ซึ่งเมื่อผ่านไปแล้ว 17 วัน มียอดผู้สมัคร สปช. เข้ามาในส่วนกลางทั้งหมด 2,417 คน และผ่านทางจังหวัดทั้งหมด 2,167 คน ซึ่งรวมทั้งหมดมีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ทั้งหมด 4,584 คน โดยในส่วนกลางมีผู้เข้ายื่นสมัครในด้านการศึกษามากที่สุด จำนวน 404 คน และด้านที่มีผู้เข้ามาสมัครสรรหาน้อยที่สุด คือ ด้านสื่อมวลชน จำนวน 105 คน ซึ่งตนเห็นว่า มาถึงวันนี้ ถือเป็นตัวเลขที่สูงและน่าพอใจ โดยตนคาดว่า เมื่อหมดเขตรับสมัครในวันที่ 2 กันยายน จะมียอดทะลุ 5,000 คนอย่างแน่นอน
เสนอรายชื่อคนดังเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้บรรยากาศที่สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง ยังมีผู้ที่ทยอยมาสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. อย่างต่อเนื่อง มีผู้เดินทางมาเสนอชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยมีบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าเสนอชื่อ อาทิ ด้านการเมือง มูลนิธิสหพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลก เสนอชื่อพล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา อดีตประธานกกต.กทม. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอนางฐะปาณีย์ อาจารวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ด้านการศึกษา สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอชื่อนายสรรเสริญ มิลินทสูตร คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพ วัดทับไทร เสนอชื่อ พล.ร.ท. เชษฐ โกมลฐิติ อดีต ผบ.นย. ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สมาคมศัลยแพทย์ทั่วไปแห่งประเทศไทย เสนอชื่อ พล.ท.นพ.ปริญญา ทวีชัยการ พี่ชายนายสุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาธิการกกต.
สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เสนอชื่อนายทวีจิตร จันทรสาขา นายกสมาคม สถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สำนักงบประมาณเสนอชื่อนายเฉลิมศักดิ์ จันทร์ทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอ นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้านอื่นๆ มูลนิธิสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เสนอนายสมบูรณ์ ทรัพย์สาร และนายฉลองรักษาศรี สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอ นายนิติกร กรัยวิเชียร ด้านสื่อสารมวลชน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เสนอ นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงษ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และนายปฏิวัติ วิสิกชาติกรรมการ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสูตรการตั้งรัฐมนตรีครั้งนี้ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาพยายามจะตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการในกระทรวงที่สำคัญและมีงบประมาณ ภารกิจมาก เป็นกระทรวงใหญ่ โดยมีทั้งพลเรือนและทหาร เข้าไปนั่งทำงาน เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย โดยหากกระทรวงไหนที่เป็นทหารนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการฯแล้วเกรงว่าอาจใช้เวลาเรียนรู้งานนาน
ก็จะใช้สูตรเอาอดีตข้าราชการในกระทรวงนั้นๆมาเสริมทัพเพื่อจะได้ขับเคลื่อนงานไปได้เร็วเช่น ก.ต่างประเทศที่ตั้งพล.อ.ธนะศักดิ์ ผบ.สส.เป็นรมว.ต่างประเทศ ก็เอานายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตฑูตไทยหลายประเทศ อดีตโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศมาหลายสิบปี มาเป็นรมช.กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ทำงานได้ทันทีเช่นเดียว กับก.มหาดไทยที่ตั้งพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเป็นรมว.มหาดไทย ก็ตั้งนายสุธี มากบุญ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย-อดีตผู้ว่าฯนครราชสีมาเพื่อน มัธยมศึกษาโรงเรียนอำนวยศิลป์ของพล.อ.อนุพงษ์ ที่มีประสบการณ์มาหลายสิบปีมาเสริมทีมพล.อ.อนุพงษ์ ยกเว้นบางกระทรวงเช่น ก.กลาโหม ที่มีข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะตั้งทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณและพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ว่าที่ผบ.ทบ.เป็นรมช.กลาโหม ซึ่งเหตุผลยังไม่ชัดถึงการตัดสินใจครั้งนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี