31 ส.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว "ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์" โดยระบุว่า "ทำอย่างไรให้รถไฟทางคู่ไทย - จีนสำเร็จ?"
เมื่อเร็วๆ นี้ ทูตพาณิชย์จีนได้เข้าพบปลัดกระทรวงคมนาคม โดยได้แสดงความสนใจที่จะร่วมลงทุนโครงการรถไฟทางคู่ขนาดราง 1.435 เมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.จำนวน 2 เส้น ได้แก่ (1) หนองคาย - นครราชสีมา - ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะทาง 737 กม.วงเงิน 392,570 ล้านบาท (2) เชียงของ - เด่นชัย - บ้านภาชี ระยะทาง 655 กม.วงเงิน 348,890 ล้านบาท หรือวงเงินรวม 2 เส้นทาง 741,460 ล้านบาท ทั้งนี้ ฑูตพาณิชย์จีนขอให้รัฐบาลไทยนำข้อตกลง (MOU) เดิม กลับมาพิจารณาใช้
ผมเข้าใจว่าข้อตกลงนี้เป็น "กรอบเจรจาความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน" ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ สาระสำคัญของกรอบการเจราจานี้ประกอบด้วย 1) เส้นทาง 2) การดำเนินการ 3) การจัดหาพื้นที่ในการพัฒนา 4) การใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรร่วมกันในการพัฒนา และ 5) การถ่ายทอดเทคโนโลยี
เมื่อวันที่ 7 ส.ค.57 ผมได้โพสต์เรื่อง "แนะทำ MOU รถไฟไทย - จีน" เพราะเล็งเห็นว่าเส้นทางทั้งสองนี้หากสามารถเชื่อมต่อกับประเทศจีนได้ ก็จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างมาก ดังนั้น ผมจึงได้เสนอให้รัฐบาลที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นทำข้อตกลง หรือ MOU กับประเทศจีนในการก่อสร้างรถไฟทั้ง 2 เส้นทางนี้ ซึ่งมาถึงวันนี้ ข้อเสนอแนะของผมก็ตรงกับความต้องการของจีน ในการโพสต์เรื่องดังกล่าว ผมได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงไว้หลายด้านทั้งเรื่อง ประกอบด้วย 1) เส้นทาง 2) เทคโนโลยี 3) การก่อสร้าง 4) แหล่งเงินทุน (รวมทั้งการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน) และ 5) ความช่วยเหลือจากประเทศจีน
การจะทำให้โครงการรถไฟทางคู่ประสบความสำเร็จนั้น รัฐบาลไทยจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการพัฒนาเส้นทางทั้งสองนี้เป็นรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ ซึ่งรถไฟความเร็วสูงก็ต้องใช้ทางคู่ และขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ถ้าใช่ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน เสียเลย อีกทั้งวงเงินโครงการดังกล่าวข้างต้นก็สูงพอๆ กับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว การกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนจะทำให้ได้ข้อตกลงตรงกับความต้องการของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีของรถไฟ เราจะใช้ขบวนรถไฟที่สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.แค่นั้นหรือ หากในอนาคตเราต้องการเพิ่มความเร็วสูงสุดเป็น 300 กม./ชม.หรือมากกว่านั้น ก็ต้องเสียเงินซื้อขบวนรถไฟใหม่อีก
การตั้งบริษัทร่วมทุน 3 ฝ่าย ประกอบด้วยรัฐบาลไทย เอกชนไทย และเอกชนจีน เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเจรจากันให้ชัดเจน ซึ่งสัดส่วนของฝ่ายไทยจะต้องไม่ต่ำกว่า 51% ในสัดส่วน 51% นี้ จะต้องให้เอกชนไทยเข้ามาถือหุ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อไม่ให้บริษัทร่วมทุนกลายเป็นรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ การเจรจาจำเป็นต้องหาข้อตกลงในรายละเอียดทุกเรื่อง เช่น 1.ในส่วนของการลงทุนโดยรัฐบาลไทย จะสามารถแปลงที่ดินเป็นทุนได้หรือไม่ 2.จะต้องกู้เงินจากประเทศจีนหรือไม่ มีอัตราดอกเบี้ยเท่าใด ระยะเวลาปลอดเงินต้นกี่ปี ฯลฯ 3.ใครต้องค้ำประกันเงินกู้ที่เอกชนจีนนำมาร่วมลงทุน และ 4.รัฐบาลไทยจะต้องค้ำประกันเงินกู้ส่วนใดบ้าง และจะต้องใช้อะไรเป็นหลักประกัน เช่น ทรัพย์สินของโครงการรวมทั้งที่ดินในเขตทางและรายได้จากกิจการรถไฟทั้งสองเส้นทางนี้หรือไม่
หากไม่ได้ข้อตกลงที่ชัดเจน โครงการรถไฟทางคู่ทั้งสองเส้นทางนี้ ก็คงทำได้เพียงแค่ศึกษาความเหมาะสม ด้วยงบประมาณ 350 ล้านบาท ที่ สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กำลังจะดำเนินการเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี