วันศุกร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557, 19.51 น.
5 ก.ย. 57 เวลา 17.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนสนามบินน้ำ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีโครงการรับจำนำข้าว ในฐานะโฆษกกรรมการ ป.ป.ช. และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. แถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีทุจริตจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และมีมติแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม แก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก 1 คน คือ พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตผู้ช่วยเลขานุการ รมว.พาณิชย์ รวมทั้งบุคคลและบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก
นายวิชา กล่าวว่า พ.ต.วีระวุฒิ ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญ ที่เชื่อมโยงในการทุจริตจำนำข้าว เพราะถือเป็นคนกุมความลับไว้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องจำนำข้าว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้มาจากบริษัทที่ค้าข้าวที่ ป.ป.ช.ได้ขยายผลในจำนวนมากกว่า 100 บริษัท โดยเมื่อได้ข้อมูลดังกล่าวมาแล้ว คณะอนุกรรมการไต่สวนก็จะรีบรวบรวมสำนวน เพื่อที่จะดำเนินการสรุปสำนวนในเร็ววันนี้
นอกจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังมีมติกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาอีกจำนวนหนึ่ง โดยพยานเหล่านี้จะต้องทำคำมั่นสัญญาว่าจะให้ความร่วมมือ ให้รายละเอียดข้อมูลหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงเอาผิดกับตัวการสำคัญในคดีดังกล่าวได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่ฟ้อง พยานกลุ่มดังกล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเป็นการเชื่อมโยงกัน เพราะเมื่อได้มีการลงนามขายข้าวให้รัฐวิสาหกิจจีนแล้ว ปรากฏว่า พ.ต.วีระวุฒิ ได้แจ้งกับผู้ประกอบการค้าข้าวว่า จะสนับสนุนการขายข้าว โดยให้จ่ายแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายกับกรมการค้าต่างประเทศ และราคาขายข้าวที่มีเซ็นสัญญาซื้อ ก็มีราคาต่ำกว่าที่ขายในประเทศ หรือต่ำกว่าราคาจำนำ ผู้ประกอบการค้าก็มีความจำเป็น เพราะถูกบีบบังคับก็เลยต้องยินยอมเซ็นเช็คสั่งจ่าย และมอบให้บุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เพื่อไปชำระค่าซื้อข้าวกับรัฐวิสาหกิจของจีน
หลังจากนั้นองค์การคลังสินค้า ก็ได้เอาหลักฐานการสั่งจ่ายเงินให้กับนายรัฐนิธ โสจิรกุล, นายนิมล รักดี และนายสมคิด เรือนสุภา เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการรับมอบขนข้าวจากคลังสินค้ากลาง และปรากฏว่ามีการขนออกไปนอกราชอาณาจักร จึงเป็นการสวมรอยเพื่อทำจีทูจีโดยแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าหลักฐานดังกล่าวค่อนข้างชัด และเป็นหลักฐานจริง ซึ่งเราพยายามทำสำนวนให้ได้พยานหลักฐาน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเชื่อโยงที่ชัดเจนขึ้น
นายวิชายังได้กล่าวถึงกรณีอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงมีมติสั่งไม่ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ว่า เราไม่แปลกใจที่ อสส.ไม่สั่งฟ้อง เพราะท่านยังไม่เห็นข้อมูลในมือของเรา ที่มีความเชื่อมโยงให้เห็นภาพชัดเจน
ทั้งนี้ในประเด็นที่ อสส.เห็นว่ายังไม่มีความสมบูรณ์นั้นคือ 1.ให้รวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอำนาจในการยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาแล้วหรือไม่นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่า เพราะเรื่องหลักฐานครบถ้วนอยู่แล้ว
2.ให้รวบรวมพยานหลักฐานว่าภายหลังจากโครงการรับจำนำข้าวถูกท้วงติงจาก ป.ป.ช.และ สตง.แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ดำเนินการตรวจสอบหรือป้องกันการทุจริตหรือไม่อย่างไรนั้น เรื่องนี้ได้สอบพยานบุคคลครบถ้วนแล้ว
3.ให้รวบรวมพยานหลักฐานว่าโครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตในขั้นตอนใด และมีการทุจริตอย่างไรนั้น เชื่อหาก อสส.เห็นข้อมูลหลักฐานที่ ป.ป.ช.จะส่งเพิ่มเติมก็คงจะเห็นการเชื่อมโยงที่ชัดเจน
และ 4.ให้รวบรวมรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นั้น รายงานของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงการยกตัวอย่างว่าช่องทางการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่ได้หยิบยกรายงานดังกล่าวมาเป็นเอกสารหลักฐานในการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์
“เราเคยตกลงกันว่า หากข้อมูลอะไรไม่ครบถ้วนก็ขอมาได้ ไม่ต้องตั้งคณะทำงานร่วม แต่เราก็เห็นใจ อสส. เพราะว่าขณะนี้สถานะของท่านง่อนแง่น คนที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว และ อสส.คนเก่าก็ถูกปลดกลางอากาศ ซึ่งเราก็เห็นใจในฐานะหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมด้วยกัน และเราก็จะแสดงมุทิตาจิต ตอนนี้พูดกันตรง ๆ ว่า เราก็สวดภาวนาให้ อสส.อยู่รอดปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องรอรายละเอียด