'มาร์ค'ติงนโยบายศก.'รบ.บิ๊กตู่' ย้ำขยับดีเซลระวังกระทบต้นทุน
วันศุกร์ ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557, 15.34 น.
Tag :
19 ก.ย. 57 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงแนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีว่า นโยบาย “เศรษฐกิจดิจิดอล” ถือเป็นทิศทางที่ต้องให้ภาคเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับเทคโนโลยีเติบโตขึ้น แต่จากแนวคิดนี้ไปสู่มาตรการที่จำเป็นจะต้องมองผลกระทบที่จะเกิดจากโครงสร้างใหญ่และประโยชน์ที่จะใช้จากเทคโนโลยีว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้หากดำเนินการจริงก็จะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้หากทำเป็นระบบ ส่วนนโยบายโอนภาษีช่วยคนจนที่จะต้องใช้เงินกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปีนั้น แนวคิดดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยมีการศึกษาเรื่องนี้ โดยเห็นว่าจะช่วยเป็นกลไกในการกระจายรายได้ สามารถดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีได้แต่ต้องระมัดระวังเพราะในอนาคตอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเป็นประชานิยมก็จะอันตรายมาก เนื่องจากจำนวนเงินที่ใช้สามารถเติบโตได้เร็ว ขณะเดียวกันก็ต้องสำรวจให้ชัดว่าคนพร้อมเข้าสู่ระบบภาษีจริง และต้องมีกลไกที่จะไม่ให้เป็นเรื่องดุลพินิจของฝ่ายการเมืองหรือนโยบายที่จะเพิ่มอะไรได้ตามใจชอบ
“หลักคิดนี้ต้องยืนยันว่าให้เฉพาะคนทำงานไม่ใช่ให้คนที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำงาน ซึ่งมีความพยายามเสนอใช้ในหลายประเทศ แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าจะใช้กลไกนี้เป็นตัวหลักก็ต้องมีคำตอบว่านโยบายที่จะช่วยผู้ด้อยโอกาสตรงไหนยังมีอยู่ หรือจะเลิกตรงไหน จึงจะเห็นความเป็นธรรมในภาพรวมได้ และต้องมีระบบตรวจสอบด้วย ผมได้ให้ข้อสังเกตกับกระทรวงการคลังไปว่า มีความพร้อมแค่ไหนที่จะตรวจสอบเพราะหลายอาชีพได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในระบบภาษี และช่องว่างที่จะมีคนไม่ได้ทำงานเข้ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งกระทรวงการคลังหวังเรื่องการนำคนเข้าสู่ฐานภาษี หากพบว่ามีรายได้เมื่อไหร่ก็สามารถจัดเก็บได้ทันที” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เงินกว่า 50,000 ล้านบาท ที่จะใช้ในแต่ละปีกระทรวงการคลังคิดว่าคุ้มค่าในระยะยาว แต่ตนเคยถามไปว่ามั่นใจได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าจะทำเรื่องนี้โดยไม่ทบทวนเรื่องความช่วยเหลือด้านอื่นไม่ได้ต้องเห็นภาพทั้งระบบว่าออกมาตรการนี้แล้วจะช่วยให้ภาระของรัฐลดลงหรือไม่ เนื่องจากผู้เสนอแนวคิดเรื่องนี้คิดว่าไม่ต้องไปช่วยเรื่องอื่นแล้วซึ่งเป็นไปได้ยาก โดยคิดว่าหากมีระบบนี้แล้วอาจจะลดภาระการช่วยเหลือเกษตรกร หรือ ผู้ด้อยโอกาสอื่น จึงไม่ควรพิจารณามาตรการนี้เพียงอย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงความพร้อมในแง่การปรับฐานการจัดเก็บภาษีที่คิดว่าจะเพิ่มขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน จะประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นจากการใช้เครื่องมือนี้มาช่วยคนที่มีรายได้น้อยอย่างไร
“สิ่งที่รัฐบาลบอกว่าการทำเรื่องนี้ไม่ใช่ประชานิยมเพราะไม่ได้ใช้งบประมาณคงไม่ถูกต้อง เพราะการอ้างว่าเงินส่วนนี้หักไปก่อนที่จะเข้ามาเป็นรายได้ของรัฐแล้วบอกไม่ใช่เงินงบประมาณนั้นจะคิดอย่างนี้ไม่ได้ แม้ว่ามาตรการนี้จะมีเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์แต่ขอย้ำว่าต้องมาพร้อมกับการปรับฐานการจัดเก็บภาษี ระบบตรวจสอบ และการลดภาระด้านอื่น ๆควบคู่ไปด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่าจะมีการขยับราคาก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจีภาคขนส่งในเดือนตุลาคมนี้ว่า หากจะมีการปรับราคาก็น่าจะเป็นเหตุผลที่จะทำให้ราคาภาคขนส่งเท่ากับครัวเรือนเพราะปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ซึ่งหลังจากนี้ก็อยากให้มองภาพรวมการปฏิรูปพลังงานให้เกิดความชัดเจนก่อน ซึ่งแนวคิดตนเห็นว่าทรัพยากรที่เป็นของคนทั้งชาติและมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในภาคครัวเรือนควรจะได้ใช้ในราคาต้นทุน โดยต้องมีการคำนวณราคาต้นทุนที่โปร่งใสด้วย ส่วนการขยับราคาดีเซลนั้น ต้องระมัดระวังเพราะถ้าขยับราคาเกินเพดานที่ทำให้ต้นทุนการผลิตและขนส่งเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบไปหมด ไม่คุ้มกับที่คิดว่าประหยัดเงินจากการแทรกแซงในบางกรณี แต่ก็ต้องดูราคาน้ำมันดิบเป็นตัวหลักด้วยหากประคับประคองให้มีเสถียรภาพได้ก็ควรทำให้มีเสถียรภาพมากกว่า ทั้งนี้ตนได้เสนอแล้วว่าการจะเดินนโยบายด้านพลังงานหากยังไม่ตกผลึกก็ไม่ควรดำเนินการแต่ถ้ามั่นใจว่าไม่ขัดทิศทางปฏิรูปก็เดินได้เลย เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันปราบปรามการทุจริต ส่วนพลังงานความเห็นหลากหลายจึงอยากให้มีความชัดเจนในภาพรวมก่อน
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีแนวคิดที่จะยืดการชำระหนี้โครงการจำนำข้าว 700,000 ล้านบาท ออกไป 30 ปีว่า ยังไม่ทราบเหตุผลว่าจะทำเพื่ออะไรแต่ต้องคิดถึงภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งตนคิดว่าปัญหาของผู้ที่เข้ามาบริหารทั้งตอนนี้และอีกหลายปีข้างหน้าปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลไทยต้องชำระหนี้เหล่านี้ จึงต้องหาความสมดุลว่าอย่าให้เป็นภาระยาว สะสม แต่อย่าให้กลายเป็นข้อจำกัดจนรัฐบาลไม่มีเงินในการบริหารได้เลยในช่วงสามสี่ปีข้างหน้า ซึ่งตนคิดว่าหากจัดงบชำระหนี้ในวงเงิน 7 หมื่นล้านบาทต่อปีก็ควรทำ และหากรัฐบาลชุดนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่ามีการลดปัญหาการทุจริตได้ก็จะมีเงินมากพอที่จะลงทุน มากกว่าจะไปตั้งเป้าผลักภาระหนี้ส่วนนี้ไปให้รัฐบาลในอนาคตรับผิดชอบแทน